เมื่อช่วง2-3วันมานี้ตามข่าวทั้งในทีวีและตามหนังสือพิมพ์รวมถึงในโซเชียลมิเดียต่างๆพากันกล่าวถึงไวรัสชนิดหนึ่งที่ยังไม่มีทางรักษาและกำลังระบาดในแอฟริกาบางประเทศและความตื่นตระหนก ว่าเชื่อนี้ได้เข้ามาในไทยแล้วนั้น วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับเชื้อนี้กันก่อน
โรคไวรัสอีโบลา หรือ
ไข้เลือดออกอีโบลา เป็นโรคของมนุษย์ที่เกิดจากไวรัสอีโบลา ตรงแบบเริ่มมีอาการสองวันถึงสามสัปดาห์หลังสัมผัสไวรัส โดยมี
ไข้ เจ็บคอ ปวดกล้ามเนื้อและ
ปวดศีรษะ จากนั้นมีคลื่นไส้ อาเจียนและ
ท้องร่วงร่วมกับการทำหน้าที่ของ
ตับและ
ไตลดลงตามมา เมื่อถึงจุดนี้ บางคนเริ่มมีปัญหาเลือดออก
บุคคลรับโรคนี้ครั้งแรกเมื่อสัมผัสกับเลือดหรือสารน้ำในร่างกายจากสัตว์ที่ติดเชื้อ เช่น ลิงหรือ
ค้างคาวผลไม้
เชื่อว่าค้างคาวผลไม้เป็นตัวพาและแพร่โรคโดยไม่ได้รับผลกระทบจากไวรัส
เมื่อติดเชื้อแล้ว โรคอาจแพร่จากคนสู่คนได้
ผู้ที่รอดชีวิตอาจสามารถส่งผ่านโรคทางน้ำอสุจิได้เป็นเวลาเกือบสองเดือน
ในการวินิจฉัย ต้องแยกโรคอื่นที่มีอาการคล้ายกันออกก่อน เช่น
มาลาเรีย อหิวาตกโรคและ
ไข้เลือดออกจากไวรัสอื่น ๆ อาจทดสอบเลือดหา
แอนติบอดีต่อไวรัส
ดีเอ็นเอของไวรัส หรือตัวไวรัสเองเพื่อยืนยันการวินิจฉัย
การป้องกันรวมถึงการลดการระบาดของโรคจากลิงและหมูที่ติดเชื้อสู่คน
ซึ่งอาจทำได้โดยการตรวจสอบหาการติดเชื้อในสัตว์เหล่านี้
และฆ่าและจัดการกับซากอย่างเหมาะสมหากพบโรค
การปรุงเนื้อสัตว์และสวมเสื้อผ้าป้องกันอย่างเหมาะสมเมื่อจัดการกับเนื้อ
สัตว์อาจช่วยได้ เช่นเดียวกับสวมเสื้อผ้าป้องกันและ
ล้างมือเมื่ออยู่ใกล้ผู้ที่ป่วยเป็นโรคดังกล่าว ตัวอย่างสารน้ำร่างกายจากผู้ป่วยควรจัดการด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ
ไม่มีการรักษาไวรัสอย่างจำเพาะ ความพยายามช่วยเหลือผู้ป่วยมีการบำบัดคืนน้ำ (rehydration therapy) ทางปากหรือ
หลอดเลือดดำ โรคนี้มี
อัตราตายสูงระหว่าง 50% ถึง 90% ของผู้ติดเชื้อไวรัส มีการระบุโรคนี้ครั้งแรกใน
ประเทศซูดานและ
สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ตรงแบบเกิดในการระบาดในเขตร้อน
แอฟริกาใต้สะฮารา ระหว่างปี 2519 ซึ่งมีการระบุโรคครั้งแรก และปี 2555 มีผู้ติดเชื้อน้อยกว่า 1,000 คนต่อปี
[1][3] การระบาดครั้งใหญ่ที่สุดจนถึงปัจจุบัน คือ
การระบาดของอีโบลาในแอฟริกาตะวันตก พ.ศ. 2557 ซึ่งกำลังดำเนินอยู่ โดยระบาดใน
ประเทศกินี เซียร์ราลีโอนและ
ไลบีเรีย จนถึงเดือนกรกฎาคม 2557 มีผู้ป่วยยืนยันแล้วกว่า 1,320 คน แม้จะมีความพยายามพัฒนา
วัคซีนอยู่ แต่จนถึงบัดนี้ยังไม่มีวัคซีน
อาการและอาการแสดง
อาการและอาการแสดงของอีโบลาปกติเริ่มขึ้นเฉียบพลันด้วยขั้นคล้ายไข้หวัดใหญ่โดยมีรู้สึกเหนื่อย ไข้ ปวดศีรษะ และปวดข้อ กล้ามเนื้อและท้อง นอกจากนี้ อาการอาเจียน ท้องร่วงและไม่อยากอาหารยังพบทั่วไป อาการที่พบน้อยกว่ามีเจ็บคอ เจ็บหน้าอก สะอึก หายใจลำบากและกลืนลำบาก เวลาเฉลี่ยระหว่างได้รับเชื้อจนเริ่มมีอาการ คือ 8 ถึง 10 วัน แต่เกิดได้ระหว่าง 2 ถึง 21 วัน ที่ผิวหนังอาจมีผื่นจุดราบและผื่นนูน [maculopapular rash] (ในราว 50% ของผู้ป่วย) อาการเริ่มแรกของโรคไวรัสอีโบลาอาจคล้ายกับอาการเริ่มแรกของมาลาเรีย ไข้เด็งกี หรือไข้เขตร้อนอื่น ก่อนโรคดำเนินเข้าสู่ระยะเลือดออกในระยะเลือดออก อาจมีเลือดออกภายในและใต้หนังผ่านตาแดงและอาเจียนเป็นเลือด เลือดออกเข้าสู่ผิวหนังอาจก่อให้เกิดจุดเลือดออก, เพอร์พิวรา (กาฬม่วง), เลือดออกใต้ผิวและก้อนเลือด [hematoma] (โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอบที่ฉีดเข็ม)
ผู้ป่วยทุกรายมีอาการบางอย่างของ
ระบบไหลเวียน รวมถึง
เลือดจับลิ่มบกพร่อง มีรายงานเลือดออกจากที่เจาะและเนื้อเยื่อเมือก (เช่น
ทางเดินอาหาร จมูก ช่องคลอดและ
เหงือก) ใน 40–50% ของผู้ป่วยชนิดของเลือดออกที่ทราบว่าเกิดกับโรคไวรัสอีโบลารวมถึงอาเจียนเป็นเลือด
ไอเป็นเลือดหรือ
อุจจาระเป็นเลือด เลือดออกหนักพบน้อยและปกติจำกัดอยู่เฉพาะทางเดินอาหาร
โดยทั่วไป การพัฒนาอาการเลือดออกมักชี้พยากรณ์โรคที่เลวกว่า ทว่า เลือดออกไม่ได้นำไปสู่
ปริมาตรเลือดน้อยและมิใช่สาเหตุการตาย (การเสียเลือดทั้งหมดต่ำยกเว้นระหว่าง
การคลอด) ซึ่งขัดต่อความเชื่อส่วนใหญ่ การเสียชีวิตนั้นเกิดจาก
กลุ่มอาการการทำหน้าที่ผิดปกติของหลายอวัยวะ เนื่องจากของเหลวกระจายใหม่ (fluid redistribution) ความดันโลหิตต่ำ
เลือดจับลิ่มในหลอดเลือดแพร่กระจาย และการตายเฉพาะส่วนของเนื้อเยื่อเฉพาะจุด
สาเหตุ
โรคไวรัสอีโบลาเกิดจากไวรัสสี่จากห้าชนิดที่จัดอยู่ในสกุล Ebolavirus
วงศ์ Filoviridae อันดับ Mononegavirales ไวรัสสี่ชนิดนั้น ได้แก่
ไวรัสบันดิบูเกียว (Bundibugyo virus, BDBV) ไวรัสอีโบลา (Ebola virus,
EBOV) ไวรัสซูดาน (Sudan virus, SUDV) และไวรัสป่าตาอี (Taï Forest virus,
TAFV) สำหรับไวรัสชนิดที่ห้า ไวรัสเรสตัน (Reston virus, RESTV)
คาดกันว่าไม่ได้ก่อโรคในมนุษย์ ระหว่างการระบาด ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงสุด
คือ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและผู้ใกล้ชิดกับผู้ป่วย
การแพร่เชื้อ
ไม่เป็นที่ทราบทั้งหมดว่าอีโบลาแพร่อย่างไร
เชื่อว่าโรคไวรัสอีโบลาเกิดหลังไวรัสอีโบลาแพร่สู่มนุษย์ทีแรกโดยการสัมผัส
กับสารน้ำร่างกายของสัตว์ที่ติดเชื้อ
การแพร่เชื้อจากคนสู่คนเกิดได้ผ่านการสัมผัสกับเลือดหรือสารน้ำร่างกายจาก
ผู้ติดเชื้อโดยตรง (รวมการฉีดดองศพผู้ตายที่ติดเชื้อ)
หรือโดยการสัมผัสกับเวชภัณฑ์ที่ปนเปื้อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเข็มและกระบอกฉีดยา การแพร่เชื้อผ่านการสัมผัสทางปากและผ่านการสัมผัสทาง
เยื่อบุตาน่าจะเป็นไปได้ และยืนยันแล้วใน
ไพรเมตที่ไม่ใช่มนุษย์
แนวโน้มการติดเชื้อโรคไวรัสอีโบลาเป็นวงกว้างนั้นถือว่าต่ำ
เพราะโรคนี้แพร่เฉพาะโดยการสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่งจากผู้ป่วยที่มีอาการ
เท่านั้น
การเริ่มต้นอาการที่รวดเร็วทำให้การระบุผู้ป่วยและจำกัดความสามารถของบุคคล
ในการแพร่โรคด้วยการเดินทางง่ายขึ้น เนื่องจากศพผู้เสียชีวิตยังติดเชื้อได้
แพทย์บางคนจึงต้องใช้มาตรการเพื่อกำจัดศพในทางที่ปลอดภัยแม้ขัดต่อพิธีกรรม
ฝังศพของท้องถิ่น
เจ้าน้าที่การแพทย์ที่ไม่สวมเสื้อผ้าป้องกันที่เหมาะสมอาจสัมผัสเชื้อได้ ในอดีต การแพร่เชื้อที่ได้มาจากโรงพยาบาลเกิดในโรงพยาบาลในทวีปแฟริกาเนื่องจากการใช้เข็มซ้ำและขาดการป้องกันสากล
โรคไวรัสอีโบลาไม่แพร่เชื้อผ่านอากาศตามธรรมชาติ ทว่าไวรัสยังแพร่เชื้อได้เพราะละอองที่สร้างจากห้องปฏิบัติการขนาด 0.8–1.2 ไมโครเมตรที่หายใจเข้าไปได้ เนื่องจากช่องทางติดเชื้อที่เป็นไปได้นี้ ไวรัสเหล่านี้จึงถูกจัดเป็น
อาวุธชีวภาพหมวดเอ ล่าสุด ไวรัสได้แสดงว่าแพร่จากหมูสู่ไพรเมตที่ไม่ใช่มนุษย์ได้โดยไม่ต้องสัมผัส
ค้างคาวถ่ายเอาผลไม้และเนื้อที่กินแล้วบางส่วนออกมา แล้วสัตว์บกเลี้ยงลูกด้วยนมอย่าง
กอริลลาและ
ไดเคอร์ (duiker) กินผลไม้ที่ตกลงมาเหล่านั้น
ลูกโซ่เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดวิธีการแพร่เชื้อโดยอ้อมที่เป็นไปได้ผ่านตัวถูก
เบียนธรรมชาติสู่ประชากรสัตว์
ซึ่งนำไปสู่การวิจัยสู่การกำจัดไวรัสในน้ำลายของค้างคาว การผลิตผลไม้
พฤติกรรมของสัตว์
และปัจจัยอื่นที่ต่างกันไปในแต่ละเวลาและสถานที่อาจกระตุ้นให้เกิดการระบาด
ในหมู่ประชากรสัตว์
วิทยาไวรัส
จีโนม
เช่นเดียวกับ
mononegavirus ทุกชนิด วิริออน (virion) อีโบลามี
จีโนมอาร์เอ็นเอไม่
แพร่เชื้อ (non-infectious) เส้นตรงสายเดี่ยว ไม่เป็นปล้อง (nonsegmented)
สภาพขั้วลบซึ่งมี inverse-complementary 3' และ 5' termini ไม่มี 5' cap
ไม่พอลิอะดีนีเลชัน (not polyadenylated) และไม่เชื่อมกับ
โปรตีนด้วย
พันธะโควาเลนต์ จีโนม ebolavirus ยาวประมาณ 19,000 คู่เบส และมีเจ็ด
ยีนตาม
ลำดับดังนี้ 3'-UTR-NP-VP35-VP40-GP-VP30-VP24-L-5'-UTR จีโนมของ
ebolavirus ห้าชนิด (BDBV, EBOV, RESTV, SUDV, และ TAFV) ต่างกันที่ลำดับ
จำนวนและตำแหน่งยีนทับซ้อนกัน
ขนาดและรูปร่าง
เช่นเดียวกับฟิโลไวรัสทุกชนิด
วิริออนอีโบลาเป็นอนุภาคคล้ายเส้นด้ายที่อาจปรากฏในรูปตะขอคนเลี้ยงแกะหรือ
รูปตัว "U" หรือเลข "6" และยังอาจขดม้วน เป็นวงแหวนหรือแตกกิ่งก้านได้
โดยทั่วไป วิริออนอีโบลามีความกว้าง 80 นาโนเมตร แต่ความยาวค่อนข้างแปรผัน
โดยทั่วไป ความยาว
มัธยฐานของอนุภาค
ebolavirus มีพิสัยระหว่าง 974 ถึง 1,086 นาโนเมตร
(ซึ่งขัดกับวิริออนมาร์เบิร์ก ซึ่งความยาวมัธยฐานของอนุภาควัดได้ 795–828
นาโนเมตร) ทว่าเคยพบอนุภาคยาวถึง 14,000 นาโนเมตรในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
การรักษา
หอผู้ป่วยแยกในโรงพยาบาลที่เมืองกูลู อูกานดา เมื่อคราวการระบาดเมื่อ พ.ศ. 2543
ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาจำเพาะสำหรับโรคไวรัสอีโบลา
มีแต่เพียงการรักษาประคับประคอง (supportive treatment)
ได้แก่ทำหัตถการแบบรุกล้ำให้น้อยที่สุด
รักษาสมดุลอิเล็กโตรไลต์และสารน้ำเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
ให้สารต้านการแข็งตัวของเลือดในระยะแรกเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดลิ่มเลือดแข็ง
ตัวในหลอดเลือดแบบแพร่กระจาย (DIC)
ให้สารช่วยการแข็งตัวของเลือดในระยะท้ายเพื่อควบคุมไม่ให้มีเลือดออก
รักษาระดับออกซิเจน บรรเทาอาการปวด
และใช้ยาต้านเชื่อแบคทีเรียหรือยาต้านเชื้อราเพื่อรักษาการติดเชื้อซำซ้อน
(ถ้ามี)
ส่วนในประเทศไทยยังไม่มีรายงานว่ามีผู้ป่วยเป็นโรคนี้ แต่ก็ต้องเฝ้าระวังกันต่อไปส่วนด้านล่างคือตารางประเทศที่มีผู้ป่วยและเสียชีวิต
 |
 |
|
โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา (Ebola) ในแถบแอฟริกาตะวันตก
|
|
สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา |
รายงานสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา (Ebola) ซึ่งพบในประเทศแถบแอฟริกา จำนวน 4 ประเทศ ได้แก่ ประเทศกินี ไลบีเรีย เซียร์ราลีโอน และไนจีเรีย รวมทั้งสิ้น 3,069 ราย เสียชีวิต 1,552 ราย รายละเอียด ดังนี้ี้ี้ |
| | | |
ประเทศ
|
รายละเอียด
|
WHO: World Health Organization ณ 22 สิงหาคม 2557
|
ประเทศกินี (Guinea) |
จำนวนที่เข้าข่ายสงสัยติดเชื้อ
|
648
|
|
จำนวนผู้ป่วยยืนยันทางห้องปฏิบัติการ
|
482
|
| จำนวนผู้เสียชีวิต |
430
|
ประเทศไลบีเรีย (Liberia) |
จำนวนที่เข้าข่ายสงสัยติดเชื้อ
|
1,378
|
|
จำนวนผู้ป่วยยืนยันทางห้องปฏิบัติการ
|
322
|
| จำนวนผู้เสียชีวิต |
694
|
ประเทศเซียร์ราลีโอน (Sierra Leone ) | จำนวนที่เข้าข่ายสงสัยติดเชื้อ |
1,026
|
| จำนวนผู้ป่วยยืนยันทางห้องปฏิบัติการ |
935
|
| จำนวนผู้เสียชีวิต |
422
|
ประเทศไนจีเรีย (Nigeria ) |
จำนวนที่เข้าข่ายสงสัยติดเชื้อ
|
17
|
|
จำนวนผู้ป่วยยืนยันทางห้องปฏิบัติการ
|
13
|
| จำนวนผู้เสียชีวิต |
6
|
| | |
**ในประเทศไทย ยังไม่เคยพบมีรายงานผู้ป่วยด้วยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลามาก่อน**
|
‘อีโบลากลายพันธุ์’...วิกฤติขั้นสูงสุด
‘อีโบลากลายพันธุ์’...วิกฤติขั้นสูงสุด : ทีมข่าวรายงานพิเศษ
"ไวรัสอีโบลาเริ่มจากไหน และกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างไร?"
นั่นคือ ปริศนาคำถาม ที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกสงสัยมากสุด
หากย้อนรอยดูเส้นทางระบาดเชื้อร้ายตัวนี้ครั้งแรก พ.ศ.2519 ผ่านไปเกือบ 40
ปีนั้น ปี 2557 นับเป็นรอบที่ 20 แต่เป็นการแพร่กระจายมากสุด
องค์การอนามัยโลกถึงกับใช้คำว่า "ภาวะวิกฤติขั้นสูงสุด"
หลังพบผู้ป่วยรายแรกใน "ประเทศเซเนกัล" พื้นที่ชายแดนติดกับประเทศกินี
ซึ่งกลายเป็นประเทศที่ 5 ในแอฟริกาตะวันตก
สาเหตุที่องค์การอนามัยโลก หรือ "ฮู" ต้องใช้คำนี้
เพราะช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
เจ้าหน้าที่ฮูพยายามประกาศนโยบายและแนวทางทุกอย่างเพื่อกักกันและจำกัดเชื้อ
อีโบลาไม่ให้ลุกลามออกนอก 3 ประเทศแหล่งระบาดสำคัญ ได้แก่ กินี
เซียร์ราลีโอน และไลบีเรีย
แต่เอาไม่อยู่วันนี้เชื้อแพร่กระจายไปถึงไนจีเรียและเซเนกัลเรียบร้อยแล้ว
ล่าสุด ผู้เชี่ยวชาญอีโบลาถึงกับต้องเอามือก่ายหน้าผาก
เมื่อวารสารการแพทย์ "ไซแอนซ์" ตีพิมพ์ผลงานทีมนักวิจัยระดับโลกที่ระบุว่า
อีโบลาสายพันธุ์ซาร์อีร์ซึ่งกำลังระบาดอยู่นั้น
เมื่อตรวจดูสารพันธุกรรมเชิงลึกพบว่า พวกมันกลายพันธุ์ไปแล้วกว่า 300
ตำแหน่ง เชื้ออีโบลาที่ถูกนำมาตรวจสารพันธุกรรมข้างต้นเก็บมาจากผู้ป่วย 78
รายในเซียร์ราลีโอน แสดงว่าพวกมันกลายพันธุ์ระหว่างแพร่กระจายจาก
"คนสู่คน"
"อีโบลากลายพันธุ์ 300 ตำแหน่ง เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นแค่ไหน ?"
"ทีมข่าวคมชัดลึก" สอบถามไปยังแพทย์ด้านไวรัสวิทยา
และผู้เชี่ยวชาญจุลชีววิทยาประจำทีมติดตามเฝ้าระวังไวรัสอีโบลาของประเทศไทย
ผลสรุปของเหล่านักวิทยาศาสตร์ข้างต้นคล้ายคลึงกันว่า "ตื่นเต้นมาก
เพราะปกติไวรัสจะไม่กลายพันธุ์รวดเร็วและรุนแรงขนาดนี้"
เปรียบเทียบกับไวรัสไข้หวัดใหญ่แล้ว แม้มีการแพร่ระบาดไปทั่วโลก
แต่ถ้านำมาตรวจสารพันธุกรรมพบการเปลี่ยนแปลงเพียงไม่กี่ตำแหน่งหรือไม่เกิน
สิบตำแหน่งเท่านั้น แต่เชื้ออีโบลาตัวนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิง
มันพยายามดัดแปลงตัวเองสู้กับภูมิคุ้มกันของมนุษย์...
"ยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า ตำแหน่งพันธุกรรมของอีโบลามีประมาณ 2
หมื่นกว่าตำแหน่ง กลายพันธุ์ไปแล้วถึง 300 ตำแหน่ง
และไม่รู้จะเปลี่ยนแปลงไปอีกเท่าไร การระบาดปี 2014
นี้ถือว่ายาวนานต่อเนื่องกว่า 7-8 เดือน
ถ้าเปรียบเทียบกับการระบาดครั้งก่อนๆ สามารถควบคุมได้ภายใน 3-4 เดือน
แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะยาก เพราะพื้นที่ระบาดอยู่ในชุมชนมีประชากรหนาแน่น
รวมถึงการขาดแคลนอุปกรณ์การแพทย์และสาธารณูปโภคพื้นฐาน
ทำให้เชื้อระบาดเร็วและรุนแรงกว่ารอบที่ผ่านมา"
ผู้เชี่ยวชาญไวรัสอีโบลาข้างต้น ยอมรับว่า
ความน่ากลัวหรือปัญหาหนักใจมี 3 เรื่องด้วยกัน คือ 1
การกลายพันธุ์ของเชื้อตัวนี้
จะทำให้มันสามารถดัดแปลงอยู่กับมนุษย์ได้ดีขึ้น
อาจมีความรุนแรงน้อยลงกลายเป็นเหมือนไวรัสไข้หวัดใหญ่ หมายความว่า
ที่ผ่านมาอีโบลาเป็นไวรัสเชื้อรุนแรง
ใครได้รับไวรัสร้ายสู่ร่างกายจะป่วยหนัก
ต้องนอนบนเตียงไม่สามารถเดินทางหรือเดินออกไปไหนมาไหนได้
แต่ถ้าอีโบลาปรับปรุงตัวเองให้รุนแรงน้อยลง
คนป่วยอาจไม่ต้องนอนซมอยู่กับที่ หรืออาจมีเชื้อในร่างกายแล้วไม่แสดงออก
กลายเป็นพาหะนำไปสู่คนอื่น เชื้อตัวนี้จะยิ่งกระจายไปมากกว่าเดิม
ถือเป็นวิกฤติสูงสุด เพราะไวรัสไข้หวัดใหญ่มียารักษาแล้ว แต่อีโบลายังไม่มี
ส่วนที่น่าเป็นห่วงอีกเรื่องคือ
ยาหรือวัคซีนที่หลายบริษัทกำลังพัฒนาเพื่อกำราบเชื้อตัวนี้นั้น
หากพวกมันกลายพันธุ์ไปมากกว่าเดิม ยาเหล่านี้ก็จะไม่ได้ผลตามที่คาดการณ์ไว้
หมายถึงทุกประเทศต้องเริ่มต้นผลิตยากันใหม่ ซึ่งใช้เวลาอีกหลายปี และ
สุดท้ายสิ่งที่ต้องลุ้นระทึกคือ
เชื้ออีโบลาจะพัฒนาตัวเองให้สามารถติดต่อผ่านทางอากาศ หรือที่เรียกว่า
"แอร์บอร์น" (airborne transmission) เหมือนไวรัสหวัดใหญ่ได้หรือไม่
เพราะตอนนี้เชื้ออีโบลาจะติดต่อผ่านผู้สัมผัสใกล้ชิดโดยตรงกับผู้ป่วยเท่า
นั้น ไม่ได้เป็นเชื้อที่แพร่กระจายทางอากาศ
"อัตราการเสียชีวิตของไข้หวัดใหญ่มีเพียงร้อยละ 0.1
ไวรัสร้ายบางตัวอาจทำให้เสียชีวิตร้อยละ 10 ซึ่งถือว่ามากแล้ว
แต่ไวรัสอีโบลามีอัตราการตายถึงร้อยละ 50-60
นั่นคือเหตุผลที่ทำไมหมอและนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกถึงพยายามเตือนภัยเชื้อ
ร้ายตัวนี้" ผู้เชี่ยวชาญจุลชีววิทยากล่าวอธิบาย
อย่างไรก็ตาม ผลวิจัยข้างต้นยังทำให้มีความหวัง
เนื่องจากการกลายพันธุ์อย่างรวดเร็วของเชื้ออีโบลา
ทำให้สามารถติดตามเส้นทางได้ว่ามันเดินทางติดต่อจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง
อย่างไร เมื่อไร และที่ไหน
พร้อมกันนี้ทีมวิจัยนำเอาลำดับพันธุกรรมของไวรัสอีโบลาชุดนี้เผยแพร่ทางอิน
เทอร์เน็ตหรือสังคมออนไลน์เรียบร้อยแล้ว
เพื่อให้นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกช่วยกันวิเคราะห์
และตรวจดูการกลายพันธุ์ว่าส่งผลกระทบต่อยาหรือวัคซีนที่กำลังผลิตมากน้อยแค่
ไหน
ผศ.พญ.อรุณี ธิติธัญญานนท์ ผู้เชี่ยวชาญจุลชีววิทยา
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายว่า
ปัญหาการกลายพันธุ์ของไวรัสอีโบลาส่งผลกระทบต่อ "ยารักษา" โดยตรง แม้ว่า
"ยา" หรือ "วัคซีน" ที่หลายประเทศกำลังเร่งผลิตนั้น
อาจจะไม่ใช่ความหวังในตอนนี้ก็ตาม
"ยาที่จะมาใช้หยุดยั้งไวรัสตัวนี้
เป็นเพียงขั้นทดลองในสัตว์เท่านั้น ยังไม่ได้รับรองความปลอดภัยในมนุษย์
แต่ผู้ป่วยหลายคนพร้อมจะทดลองใช้กับตัวเอง เพราะไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า
ปัญหาคือขั้นตอนการผลิต เพราะถ้าเชื้ออีโบลาแพร่ระบาดไปหลายประเทศ
ไม่มีบริษัทไหนผลิตยาได้พอหรือได้ทันกับความต้องการ เช่น ซีแมพพ์
ที่สกัดมาจากต้นยาสูบ ต้องใช้วงจรการปลูกต้นยาสูบและการผลิตไม่ต่ำกว่า 3
เดือน กว่าจะผลิตยาได้จำนวนมากพอ
ตอนนั้นเชื้ออาจกลายพันธุ์ไปจนยาบางตัวไม่มีประสิทธิภาพอย่างที่คาดไว้ก็ได้
คงต้องติดตามกันอย่างละเอียด" ผศ.พญ.อรุณี กล่าววิเคราะห์
สำหรับประเทศไทยนั้น
ล่าสุดกระทรวงสาธารณสุขประกาศแนวทางป้องกันเชื้อร้ายอีโบลา 3 ระบบด้วยกัน
คือ เฝ้าระวังคัดกรองผู้เดินทางเข้า-ออกประเทศ
การเฝ้าระวังในโรงพยาบาลและคลินิก และ ขอความร่วมมือชุมชนให้แจ้งข้อมูล
หรือสอบถามเรื่องอีโบลาได้ที่ "สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422" โทรศัพท์ฟรีตลอด
24 ชั่วโมง
“อีโบลา”5ประเทศ
2 ก.ย.2557 ผู้ป่วย 3,069 ราย เสียชีวิต 1,552 ราย ใน 4
ประเทศ คือ กินี ไลบีเรีย เซียร์ราลีโอน และไนจีเรีย ส่วนประเทศ “คองโก”
พบผู้ป่วย 13 ราย เสียชีวิต 13 ราย ล่าสุด ประเทศเซเนกัลชายแดนติดกินี
พบผู้ป่วย 1 ราย กำลังรักษา
ตัว
|