ค้นหาบล็อกนี้

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2557

โซเชียวมีเดียกับพฤติกรรมการฆ่าตัวตาย

กลับมาเจอกันอีกครั้งนะครับ วันนี้เราจะมาเล่าถึงเรื่องปัญหาการฆ่าตัวตายกับการใช้ social net worork กันครับ จากรายงานของบริษัท โซเวียต อิงค์ (Zocial inc) สำรวจผู้ใช้ social network ว่าไทยเรานั้นติดอันดับ ผู้ใช้ facebookเป็นอันดับ9 ของโลกเท่ากับ เยอรมัน 

โดยที่มีผู้ใช้28 ล้านคน คิดเป็น42% ใช้Instagram 1.7ล้านคน Twitter 4.5 ล้านคน พอลองมาดูในระดับอาเชียนบ้างพบว่า บ้านเรานั้นมาเป็น อันดับ3 เป็นรองดับดับ1อย่างอินโดนีเซียและอันดับ2อย่างฟิลิปปินส์ แต่ที่น่าจับตาคือพม่าเพราะมีการเติบโตของผู้ใช้socialถึง58%กันเลยครับ

และมาโุในรายจังหวัดพบว่าจังหวัดที่มีการใช้งาน social network มาดที่สุดคือกรุงเทพ ส่วนจังหวัดที่มีการขยายตัวของผู้ใช้คือ พระนครศรีอยุทยา ชัยนาทและมหาสารครามตามลำดับ


 สรุปทั้งอาเซียนเรามีผู้ใช้งานรวมกัน 170,740,000 ครับจากรายงานเราคงเห็นแล้วว่าในบ้านเรานั้นมีการใช้socialอย่างfacebook มากเป็นอันดับต้นๆ และก็ใช่กันครับมีปัญหาหนึ่งตามมานั้นคือปัญหาการฆ่าตัวตาย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญต่างบอกว่าปัญหาส่วนหนึ่งมาจากใช้งานsocial network มากจนเกินไป ไม่มีเวลาที่จะคุยกันแบบปรกติ
โดยเฉพาะเด็กๆ ทำให้เวลามีปัญหาไม่รู้จะไปปรึกษาใครเพราะคนในครอบครัวซึ่งปรกติพูดคุยกันกลับไม่สามารถปรึกษากันได้เพราะขาดความสนิทสนมกันแล้ว เด็กๆจึงหันไปปรึกษาเพื่อนๆหรือบุคคลในสังคมออนไลค์แทน ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าในสังคมออนไลค์นั้นจะมีแต่สิ่งไม่ดีแต่โอกาสที่พวกเขาเหล่านั้นจะได้คำแนะนำที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ได้รบการแก้ปัญหาอย่างตรงจุด ซึ่งปัญหาการฆ่าตัวตายในบ้านเรานั้น อันดับหนึ่งเลยมาจากโรคซึมเศร้า อันดับในการฆ่าตัวตายนั้นจังหวัดที่มีการฆ่าตัวตายมากที่สุดคือ ลำพูน น้อยสุดคือ นราธิวาส ช่วงอายุที่ฆ่าตัวตายสำเร็จอยู่ในช่วงอายุ 15-59 ปี โดยพบเป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง คิดเปอร์เซนต์การฆ่าตัวตายของเพศชายอยู่ที่ 9.29-2.66(ท่านสามารถหาข้อมูลเพิ่มที่ ลิงค์ของกรมสุขภาพจิตhttp://www.dmh.go.th/report/suicide/ ) จากปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ผู้คนใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ ขาดการใจใส่ต่อกันอย่างจริงจังโดยเฉพาะคนในครอบครัวซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหา ผมว่าเกือบจะทุกๆปัญหาในบ้านเรานั้นก่อเกิดจากการที่ครอบครัวขาดสิ่งเหล่านี้ละครับ ทั้งการดูแลเอาใจใส่ การให้คำแนะนำที่ดี การคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สุดท้ายทางแก้ผมว่าเราก็คงจะต้องมองมาที่จุดเริ่มต้นของปัญหากัน สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถใช้เวลาเพียงช่วงข้ามคืนได้แต่ก็ไม่ใช่ว่าต้องใช้เวลานานสักเท่าไรขึ้นอยู่กับความเหินห่างที่มีต่อกันและกัน ถ้าท่านยังมีเวลาเริ่มตั้งแต่เวลานี้เถอะครับ หยุดสถิติเหล่านี้ไว้แค่ดีเถอะครับ...........

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น