ค้นหาบล็อกนี้

วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ภาพลักษณ์ตำรวจไทย

สวัสดีครับช่วงนี้ก็ปลายฝนต้นหนาวกันแล้วก็รักษาสุขภาพกันด้วยนะครับ วันนี้เรามาพูดถึงภาพลักษณ์ของตำรวจในสายตาประชาชนทั่วไปกันครับ สืบเนื่องมาจากช่วงหลายสัปดาห์มานี้มีข่าวที่ต้องบอกว่าส่งผลต้องภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของตำรวจเป็นอย่างมาก รวมไปถึงคดีที่ทั่วโลกกำลังจับตามองอยู่ ต้องบอกว่าอย่างนั้น นั้นคือคดีที่เกาะเต่าครับ รายละเอียดของคดีนั้นหลายท่านคงพอจะทราบกันแล้วนะครับ คดีนี้ผู้ต้องหาเป็นชาวต่างชาติ เพื่อนบ้านเรานี้ละครับ และผู้เสียชีวิตก็เป็นชาวต่างชาติเช่นกัน คือเป็นคนอังกฤษ ทั้งสองมาเที่ยวที่เกาะเต่าและเสียชีวิตที่ชาดหายของเกาะ ตำรวจใช้เวลาอยู่สักพักก็สามารถหาตัวผู้กระทำผิดได้ ปรากฎเป็นชาวต่างชาติสัญชาติเมียร์มามีสองคนเช่นกัน ตำรวจได้เร่งสอบสวนและทำแผนประกอบคำรับสารภาพ เพราะกระทบต้องภาพลักษณ์ของประเทศ เพราะส่วนหนึ่งของรายได้ของประเทศก็มาจากการท่องเที่ยวนั้นเอง ตำรวจจึ่งต้องเร่งทำงาน แต่ก็มีเสียงสะท้อน(ซึ่งเราจะมาว่ากันนี้ละครับ)ออกมาแสดงถึงความไม่แน่ใจ ว่าตำรวจนั้นจับแพะหรือไม่ โดยเฉพาะในสังคมออนไลค์นั้นมีทั้้งรายละเอียดพร้อมข้อโต้แย้งของทางตำตรวจออกมา จนต้องมีการจัดแถลงถึงการจับกุมและลายระเอียดหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้เพิ่มความน่าเชื่อถือขึ้นเลย จนทางการอังกฤษต้องส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาดู ครับเรื่องนี้นะตอนนี้ยังไม่จบยังอีกยาวครับ คดีอาจจะพลิกได้ แต่ว่าผมก็ยังเชื่อมันในระบบยุติธรรมของเราครับ แต่ที่เราจะมาเล่าสู่กันฟังวันนี้คือทำใหม ความน่าเชื่อถือของตำรวจ"หายไปใหน"
       ครับเรื่องนี้จะให้กล่าวคงไม่จบลงง่ายๆเพราะเรื่องนี้เกิดจากการทำงานของตำรวจมานาน ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกครับที่ทำให้ภาพขององค์กรเสียแต่ว่ายุคสมัยก่อน เรื่องอย่างนี้อาจเป็นเพียงข่าวลือตำรวจนอกแถวทำไม่ดี นานๆครั้งจะจบได้ที่ แต่สังคมวันนี้เปลี่ยนไปครับ เทคโนโลยีก็เปลี่ยน ผู้คนเข้าถึงข่าวสารได้เร็วขึ้น ภาพและเสียงที่ตำรวจกระทำผิด(ซะเอง)นั้นได้ถูกตีแผ่ออกไปอย่างรวดเร็ว
โดยเรื่องที่ทำให้ประชาชนรู้สึกไม่เป็นมิตรกับตำรวจนั้นใหญ่ๆเลย คือการรับสินบน การรับส่วย การไม่บังคับใช้กฏหมายอย่างเท่าเทียมกัน นานๆเข้าทำให้ความน่าเชื่อถือน้อยลง บางคนทำรูปการ์ตูนลงเฟส เป็นตำรวจกำลังดักจบประชาชนที่ขับรถมาล้อเลียนกับโจรมุมตึกสมัยก่อน(ตั้งแต่เกิดมาโจรมุมตึกนี้ไม่เคยเจอนะครับแต่ตำรวจมุมตึก มุมถนน มุมต้นไม้ ข้างเสาไฟนี้เจอบ่อยๆ ส่วนมากมาในแนวที่ว่าไม่อยากไปโรงพัก ก็จัดมาซะตรงนี้)นี้คือพฤติกรรมส่วนน้อยของตำรวจ(ขอคิดว่าเป็นส่วนน้อยนะครับ)ที่เกิดขี้นบ่อยๆ
รวมไปถึงการยัดเยียดข้อหา การทำลายร่างกาย การพูดจาไม่เป็นมิตรกับประชาชน เป็นปัญหามาโดยตลอดครับ
      วันนี้การที่ตำรวจจะเรียกศรัธาคืนมาจากประชาชนนั้นไม่ใช่เรื่่องยากเท่ากับการปลูกฝังจิตจิตสำนึกต่อหน้าที่และการปฏิบัติตนต่อประชาชนอย่างเท่าเทียมกัน กรมตำรวจเป็นองค์กรใหญ่มีเจ้าหน้าที่สองแสนกว่าคนการที่จะบังคับทุกคนในตอนนี้ให้เดินตามกรอบตลอดคงยาก เพราะคนเคยกิน ก็คงกินวันยังค่ำ เมื่อโอกาสเอื้ออำนวย  ส่วนตัวผมจึ่งคิดว่าการเลือกสายเลือดใหม่มาแทนสายเลือดเก่าโดยที่ไม่ให้มีแนวคิดเหมื่อนสายเลือดเก่าต่างหากที่เป็นงานที่ยากกว่า ก็ขอฝากความหวังไว้กับท่าน ผบ.ตร คนปัจจุบันด้วยครับ เพราะถ้าไม่มีตำรวจใครจะค่อยปราบปรามเหล่าร้าย ใครจะคอยดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง(หรือจะเป็นทหาร) แต่เหนือสิ่งอื่นใดคดีที่เกาะเต่า ถ้าออกมาเป็นว่าตำรวจไม่ยุติธรรมแล้วละก็งานนี้ก็ต้องหาจอบ มาขุดกันเลยละครับ ขุดหาความ"ศรัธา"

วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2557

จิตตก โรคที่กำลังคุกคามคนสมัยนี้้

สวัดีครับช่วงที่ผมเขียนบทความนี้ ในบ้านเราก็มีเหตุการณ์มากมายหลายเรื่องหลายราวเกิดขึ้นทั้งการปรับราคาพลังงานภายในประเทศ ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น ซึ่งนั้นก็ส่งผลไปถึงราคาสิงค้าที่เตรียมจะปรับตามไปด้วยเป็เงาตามตัว ซึ่งภาครัฐคงต้องเข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิด รวมไปถึงข่าวการเมืองซึ่งเหมื่อนจะนิ่งๆแต่ก็ปรากฎว่ายังมีคลื่นใต้น้ำจน คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ต้องคงไว้ซึ่งกฎ อัยการศึก ทำให้ภาคการท่องเที่ยวของบ้านเรายังไม่กลับมาเป็นเหมื่อนเดิมอย่างที่ควรจะเป็น แต่จากรายข่าวก็ปรากฎว่า นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวที่บ้านเรามากกว่าช่วงเดียวกันของปี่ที่แล้วซึ่งก็ยังนับเป็นเรื่องดี อีกทั้งเรื่องข่าวทางสังคมที่มีข่าวด้านลบที่มีผลต้องสุขภาพจิตเราทั้ง ทั้งการข่มขืน การทำลายร่างกาย ปัญหาอื่นๆอีกส่งผลให้คนไทยมี"แนวโน้มผู้ป่วยทางจิตเภทมากขึ้น" จากการที่ไม่สามารถเข้าถึงการรักษา การขาดการรักษาอย่างต่อเนื่องรวมไปถึงการรักษาอย่างถูกวิธี และการที่สังคมมองผูป่วยจิตเภทในแง่ลบทั้งๆที่โรคนี้มีทางรัฏษาให้หายได้
       ครับเรื่องที่เราจะมาดูกันในวันนี้คือเรื่องของสุขภาพจิตครับ สหพันธ์สุขภาพจิตโลก ออกมาระบุว่าปัญจุบันทั่วโลกมีผู้ป่วยจิตเภท มากกว่า 26 ล้านคน และมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้น โรคจิตเภทนี้คือประเด่นที่ทั่วโลกตระหนักเพราะมีปัจจัยกระตุ้น ใให้จิตตกได้ง่าย การที่เราสร้างความเข้าใจ ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยแก้ปัญหา การแก้ปัญหาต้องเริ่มจากการเปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนทศนคติเชิงลบ เป็น ทศนคติเชิงบวก ซึ่งสังคมเรานั้นเข้าใจผิด จริงๆแล้วโรคนี้มีความผิดปกติทางความคิด เป็นความคิดที่หลงผิดไม่อยู่ในโลกของความเป็นจริิง ไม่มีความสมเหตุุสมผล ขาดความเชื่อมโยงของเหตุการณ์ จนแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมที่แปลกๆ ซึ่งในรายที่เป็นหนักๆ อาจเกิดอาการหวาดระแวงสูง รวมไปถึงการกลัวคนอื่นทำร้าย จนนำไปสู่เหตุการณ์ที่ไม่ดี ตอกย้ำภาพเชิงลบของผู้ป่วยเหล่านี้ลงไปอีก  จนทำให้สังคม เกิดอาการหวาดกลัว หลักการในการอยู่รวมกันกับผู้ป่วยจิตเภทมี 3 ประการคือ 1. ต้องเข้าใจผู้ป่วย เข้าใจโรค เข้าใจธรรมชาติของโลก 2.ความเอาใจใส่ติดตามดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดและประการที่3.การบอกผู้ป่วยให้ทราบคุณค่าของตัวเขาเอง และการหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นต่าง เช่น สารเสพติด การดื่มสุรา ที่สำคัญบุคลลในครอบครัว เพื่อนฝูง และสังคมควรให้กำลังใจและให้โอกาสกับพวกเขาเหล่านี้
     โลกเราทุกวันนี้มี ปัจจัยที่กระตุ้นให้ป่วยจิตมากขึ้นมีความเสี่ยงที่ทำให้จิตตกได้ง่าย การทำความเข้าใจและให้โอกาสจึงเป็นสิ่งสำคัญ