ค้นหาบล็อกนี้

วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

วันแม่ 2557 คุณคิดถึงท่านบ้างใหม

                      
แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง
ที่เฝ้าหวงห่วงลูกแต่หลังเมื่อยังนอนเปล
แม่เราเฝ้าโอ้ละเห่
กล่อมลูกน้อยนอนเปล ไม่ห่างหันเหไปจนไกล
แต่เล็กจนโตโอ้แม่ถนอม
แม่ผ่ายผอมย่อมเกิดจากรักลูกปักดวงใจ
เติบ โตโอ้เล็กจนใหญ่
นี่แหละหนาอะไร มิใช่ใดหนาเพราะค่าน้ำนม
ควร คิดพินิจให้ดี
ค่าน้ำนมแม่นี้ จะมีอะไรเหมาะสม
โอ้ว่าแม่จ๋า ลูกคิดถึงค่าน้ำนม
เลือดในอกผสม กลั่นเป็นน้ำนมให้ลูกดื่มกิน
ค่าน้ำนมควรชวนให้ลูกฝัง
แต่เมื่อหลังเปรียบดังผืนฟ้าหนักกว่าแผ่นดิน
บวช เรียนพากเพียรจนสิ้น
หยดหนึ่งน้ำนมกิน ทดแทนไม่สิ้นพระคุณแม่เอย
ควร คิดพินิจให้ดี
ค่าน้ำนมแม่นี้ จะมีอะไรเหมาะสม
โอ้ว่าแม่จ๋า ลูกคิดถึงค่าน้ำนม
เลือดในอกผสม กลั่นเป็นน้ำนมให้ลูกดื่มกิน
ค่าน้ำนมควรชวนให้ลูกฝัง
แต่เมื่อหลังเปรียบดังผืนฟ้าหนักกว่าแผ่นดิน
บวช เรียนพากเพียรจนสิ้น
หยดหนึ่งน้ำนมกิน ทดแทนไม่สิ้นพระคุณแม่เอย
ครับบทเพลงข้างบนนี้ผมคิดว่าคนไทยทุกคนคงร้องได้เพราะเราร้องเพลงนี้กันมาตั้งแต่เด็กๆ โดยเฉพาะวันแม่ คำว่าแม่นั้นยิ่งใหญ่ขนานไหนนั้นคงไม่ต้องบอกหรอกนะครับ ดูได้จากทุกประเทศล้วนมีวันสำคัญวันนี้ยกตัวอย่างเช่น ประเทศญี่ปุ่น

ในญี่ปุ่น ปี 1931 (หรือปีโชวะที่ 6) องค์กร สตรีสูงสุดของญี่ปุ่นได้ตั้ง วันที่ 06 มีนาคม ซึ่งเป็นวันฉลองพระราชสมภพ ของ พระราชินี คาโอรุ มาโคโตะ (Empress Kaoru Makoto) เป็น "วันแม่" ต่อมาในปี 1937 วันที่ 5 พฤษภาคม (หรือปีโชวะที่12) และได้เปลี่ยนแปลงอีกครั้งเมื่อ (ได้รับการสนับสนุนโดยคณะกรรมการกลางให้จัดตั้งวันแม่) ขึ้นใหม่ในปี 1949 (หรือปีโชวะที่ 24) โดยมาจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่สองในเดือนพฤษภาคม ตามประเทศสหรัฐอเมริกาและอีกหลายๆประเทศ ส่วนประเทศไทยเราตรงกับวันที่12 สิงหาคมของทุกปี

และเมื่อไม่กี่วันมานี้ก็ได้ว่าข่าวในเน็ต ที่มีผู้หญิงชาวจีนคนหนึ่งนั้งร้องไห้อยู่ข้างถนนข้างๆเธอมีถุงกระสอบใบใหญ่สองใบ ผู้คนผ่านไปผ่านมาเห็นเกิดสงสัยจงเขาไปถามว่าเป็นอะไร เธอบอกว่าเธอเดินทางมาจากบ้านนอกเพื่อมาหาลูกชายของเธอที่เพิ่งคลอดลูกสาว ส่วนของที่อยู่ในถุง เธอเอามาเยี่ยมรับขวัญหลานสาว แต่ว่าลูกชายไม่ให้เธอพบเพราะ"อายที่แม่แต่งตัวเหมื่อนบ้านนอก" เธอบอกว่าเธอรู้ว่าลูกชายซึ่งเรียนจบปริญญาและมีงานที่ดีทำและเข้าใจเขา ทั้งที่สามีก็บอกไม่ต้องมาแต่เธอก็มาเพื่อที่จะได้พบลูกชายและได้ให้ของขวัญหลานสาว แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่ได้พบลูกชายและเก็บของขวัญนั้นกลับบ้านไป 

สำหรับผมแล้วผมคิดว่า"ไม่มีความรักใด ที่ยิ่งใหญ่เท่าความรักจากพ่อแม่" ไม่ว่าคุณจะพ่ายแพ้มาจากใหนหรือคิดว่าตนเองนั้นไม่มีใคร ลองหันกลับไปมองข้างหลังดูอีกทีซิครับ คุณจะเจอกับผู้หญิงคนหนึ่งที่คอยให้กำลังใจคุณอยู่ก็ได้ ผู้หญิงที่คอยดูแลคุณตั้งแต่คุณยังจำความไม่ได้ หรือแม้แต่วันนี้ที่คุณก้าวเดินได้ด้วยตัวเองแล้ว ผู้หญิงคนนั้นก็ยังเฝ้ามองคุณด้วยสายตาที่ไม่เคยเปลี่ยน ผู้หญิงคนนั้นคนทั้งโลกเรียกเธอว่า "แม่" ขอบคุณครับ

 

 

 

วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ปล่อยเด็กทิ้งไว้ในรถ เหตุการณ์ซ้ำซาก ขาดความรับผิดชอบ

ครับเมื่อไม่นานมานี้มีข่าว"ลืมเด็กไว้ในรถ"จนเป็นเหตุให้เด็กเสียชีวิต เหตุการณ์อย่างนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดแต่เกิดขึ้นหลายครั้ง โดยเฉพาะรถรับส่งนักเรียน และเด็กที่ประสบเหตุส่วนมากก็เป็นเด็กนักเรียนอนุบาล โดยคนขับอ้างว่าลืมเด็กแล้วล็อครถหรือเด็กหลับจนตนเองนึกว่าได้ส่งเด็กลงหมดแล้วเป็นต้น อย่างเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดตามข่าวที่นครศรีธรรมราช ซึ่งคนขับรถบอกว่าตนทำอาชีพรับส่งนักเรียนเป็นอาชีพเสริม ส่วนอาชีพหลักขายของชำ เมื่อส่งเด็กเรียบร้อยแล้วก็นำรถมาจอดแล้วก็ไป ซื้อของมาขายที่ร้านจนเวลาใกล้เทียงจึงนึกขึ้นได้ว่าส่งเด็กคนนี้หรือยัง จึงขับรถจักรยายนต์กลับมาดูที่รถรับส่งที่จอดไว้ ก็พบเด็กนอนเสียชีวิตแล้ว ส่วนรายละเอียดของข่าวสามารถติดตามได้จากสำนักข่าวต่างๆที่รายงานเรื่องนี้ แต่ที่ผมอย่างจะบอกคือความรับผิดชอบครับ ไม่ว่าจะเป็นข่าวที่เกิดก่อนหน้านี้ที่สมุทรปราการก็เช่นกันก็คือลืมเด็กไว้ในรถเพราะเด็กหลับ ลืมนับจำนวนนักเรียน การทำหน้าที่นี้จึงมีความรับผิดชอบเพราะเราต้องดูแลเรื่องความปลอดภัยและต้องดูด้วยว่าเด็กที่เรารับมามีกี่คนและเมื่อส่งเสร็จควรจะเช็คอีกทีหนึ่งว่าเด็กนักเรียนนั้นลงกันหมดหรือยัง เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจก่อนล็อครถไว้ ครับผมเข้าใจดีและไม่อยากซ้ำเติมให้มาก แต่ก็อยากให้ผู้ที่ทำหน้าที่ขับรถส่งเด็กนักเรียนให้เพิ่มความใส่ใจและความปลอดภัยให้มากขึ้น คิดเสียว่าเขาเป็นลูกหลานเราคนหนึ่ง ส่วนผู้ปกครอง พ่อแม่ ก็เช่นกันครับไปใหนมาใหนก็อย่าปล่อยเด็กเล็กให้เขาอยู่ตามลำพังภายในรถโดยเฉพาะตอนที่เขาหลับอยู่แม้จะเปิดกระจกแงมไว้ก็ตาม อาจเกิดอันตรายจากอย่างอื่นๆอีกก็ได้ซึ่งก็ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นเพราะฉะนั้นเราควรใส่ใจให้มากขึ้นดีกว่ามาเสียใจที่หลังนะครับสุดท้ายนี้ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่านี้จะเป็นเหตุการณ์สุดท้ายเกี่ยวกับเด็กที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ในรถและการขาดความเอาใจใส่ของคนที่ดูแลเด็กๆครับ
          (ขอขอบคุณภาพข่าวจาก:http://news.sanook.com)

วันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ค่านิยม 12 ข้อของ คสช.

            สวัสดีครับเมื่อช่วงวันศุกร์ที่แล้ว คสช.ได้ให้ค่านิยมสำหรับคนไทยได้ปฎิบัติเพื่อให้เกิดความสงบและเป็นแนวทางในการปฎิบัติซึ่งค่านิยมที่ คสช.ให้มานั้นมีทั้งหมด12ข้อดังนี้ครับ
1.รักชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์
2.ซื่อสัตย์ เสียสละ อดทน มีอุดมการณ์ในสิ่งที่ดีงาม ทำเพื่อส่วนรวม
3.กตัญญูต่อพ่อ แม่ ครูบาอาจารย์
4.ใฝ่หาความรู้ ศึกษาเล่าเรียน
5.รักษาวัฒนธรรมประเพณีไทย
6.มีศีลธรรม รักษาความสัตย์ หวังดีต่อผู้อื่น รู้จักแบ่งปัน
7.เข้าใจเรียนรู้ความเป็นประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างถูกต้อง
8.มีระเบียบวินัย เคารพกฎหมาย ผู้น้อยรู้จักเคารพผู้ใหญ่
9.มีสติ รู้ตัว รู้คิด รู้ปฎิบัติ ตามพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
10.รู้จักดำรงตนอยู่โดยใช้ปรัชญาเศษฐกิจพอเพียง
11.มีความเข้มแข็งทั้งทางร่างกายและจิตใจ ไม่ยอมแพ้ต่ออำนาจกิเลส มีความเกรงกลัวต่อบาปตามหลักพระพุทธศาสนา
12.คำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวมหรือของประเทศชาติมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตน
             จะเห็นได้ว่าทุกข้อของทาง คสช.นั้นดีครับผมก็เป็นส่วนหนึ่งที่เห็นด้วยแต่ก็เหมื่อนกับหลายๆคนที่แสดงความเป็นห่วงว่าจะสำเร็จหรือเปล่า การปลูกฝังจิตสำนึกนั้นผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาและจะได้ผลดีมากถ้าปลูกฝังตั้งแต่เด็ก โดยทั้งครู ผู้ปกครองต้องคอยบอกคอยสอนทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน เมื่อเด็กทำผิดต้องว่ากล่าวตักเตือน และต้องทำให้ดูเป็นแบบอย่างด้วยครับ เมื่อเด็กได้เห็นแบบอย่างที่ดีแล้ว เด็กก็จะปฎิบัติตาม พร้อมทั้งคอยบอกคอยสอนกันไป จากบ้าน สู่โรงเรียน สู่สังคมผมเชื่อว่าอนาคตเด็กไทยจะได้มีทั้งคุณภาพประสิทธิภาพและคุณธรรมอย่างแน่นอนครับ.......

นโยบาย 5 จอม ปฎิบัติการจริงเหรอ

สวัสดีครับช่วงไม่กี่วันมานี่ตำรวจได้ออกนโยบายเพื่อมาปราบพวกชอบทำผิดกฎจราจรทั่วกรุงเทพเรียกว่า"นโยบาย 5 จอม"ซึ่งช่วงแรกทางตำรวจจะบอกกล่าวและแจ้งให้ทราบก่อนตามแยกต่างๆจากนั้นจะเข้าโหมด"จับจริง"ซึ่งในป้ายประชาสัมพันธ์ตามแยกต่างๆนะยืนยันปฎิบัติจริงแน่นอนพร้อมมีรูปภาพประกอบเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ส่วนแต่ละข้อมีอะไรบ้างเรามาดูกันครับ
1.จอมปาด โทษปรับไม่เกิน1000 บาทจับผู้ขับขี่ที่ขับตัดหน้าระยะกระชัดชิดทางลง ทางขึ้นสะพาน ตัดหน้ากระทันหันเข้าซ้าย
2.จอมล้ำ จอดรถล้ำเส้นขาวมีโทษปรับไม่เกิน1000 บาทสำหรับผู้ขับรถที่หยุดรถเลยเส้นขาวออกไป กรณีนี่ส่วนมากจะเป็นรถจักรยานยนต์ที่ชอบจอดล้ำเส้นเป็นส่วนมาก
3.จอมขวาง กีดขวางการจราจรมีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท สำหรับผู้ขับรถที่จอดกีดขวาง คร่อมเลนซึ่งทำให้รถคันอื่นไม่สามารถเดินรถได้
4.จอมย้อน มีโทษปรับ500 ย้อนศรสวนกลับมา ซึ่งส่วนมากจะเป็นรถจักรยานยนต์ที่ฝ่าฝืนบ่อยมากและเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมไม่กี่วันที่ผ่านมา คือไม่ใช่ผมที่ประสบเหตุแต่ว่าวันนั้นผมกำลังขับรถจักรยานยนต์จากแยกอโศกมุ่งหน้าไปแยกคลองเตย ช่วงหน้าตึกเลครัชดามีรถจักรยานยนต์คันหนึ่งสวนมา ซึ่งผมเห็นเขาแล้วจึงบีบแตร่ใส่เพราะมีรถจักรยานยนต์ที่จอดหลบรถยนต์บรรทุกกำลังออกมา ซึ่งเขาไม่เห็นเพราะหลังคารถบัง ผลก็คือ ชนกันโครมใหญ่เลยครับ นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งครับอันตรายมาการขับรถย้อนศรนี่ครับ
5.จอมปลอม แผ่นป้ายทะเบียนปลอมปรับไม่เกิน2000 บาท อันนี่สำหรับผู้ใช้ป้ายทะเบียนที่ไม่ได้จากขนส่งหรือทำขึ้นมาเองหรือไม่ติดแผ่นป้ายก็โดนนะครับ
สุดท้ายนี่ไม่ว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะออกกฎอะไรมาก็ตาม ถ้าผู้ใช้รถใช้ถนนขาดจิตสำนึก ขาดน้ำใจในการใช้รถใช้ถนนร่วมกันแล้ว ก็ยากที่จะประสบผลอย่างที่หวังไว้ครับ

วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

แมงมุมพิษ พิษร้ายกว่าที่คิด

 สวัสดีครับช่วงนี้เข้าสู่หน้าฝนกันแล้วนะครับ บรรยากาศบ้านเราก็ค่อยเย็นลง พอๆกับบรรยากาศทางการเมือง แต่เรื่องที่จะมาคุยวันนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับแมงมุมครับ สืบเนื่องจากมีข่าวชายหนุ่มคนหนึ่งโดนแมงมุมกัดแล้วไม่รีบมาพบแพทย์จนอาการรุกรามจนต้องนำเข้า ห้อง "ไอ. ซี. ยู"และต้องเฝ้าดูอาการตลอด24ชั่วโมง ซึ่งแพทย์ได้ส่งซากของแมงมุมไปตรวจซึงคราดว่าน่าจะเป็นแมงมุมแม่หม้ายน้ำตาลเพราะถ้าเป็นแมงมุมแม่หม้ายดำอาการน่าจะแรงกว่านี้
                                                (ภาพแมงมุมแม่ม่ายน้ำตาล)
                                                    (ภาพแมงมุมแม่ม่ายดำ)
บนโลกกลมๆของเรามีแมงมุมราวๆ40,300ชนิดและในไทยเรานั้นมีประมาณ500ชนิด แมงมุมที่มีพิษร้ายแรงประเภทกัดคนถึงตายได้คือ แมงมุมแม่หม้ายดำ ตัวเมียมีลำตัวสีดำเป็นมัน ลวดลายสีแดงหรือส้ม เป็นรูปคล้ายนาฬิกาทรายบริเวณท้อง ขนาดตัวโตเต็มวัยกว้าง 6.8 ยาว 38 มิลลิเมตร เพศผู้โตเต็มวัยยาวไม่น้อยกว่า 7.5 มิลลิเมตร แมงมุมแม่ม่ายดำมีช่วงชีวิตได้นานถึง 5 ปี พบได้ตามห้องเก็บของ รองเท้าเก่า ที่ไม่ได้ใช้ มีพิษเป็นอันตรายต่อระบบประสาท ในประเทศไทยมีพบในบางจังหวัด โดยพิษแมงมุมแม่หม้ายดำประกอบด้วยสารพิษและสารเคมีหลายชนิด สารพิษที่สำคัญได้แก่ latrotoxins ซึ่งถูกปล่อยผ่านโครงสร้างซี่งมีความยาวประมาณ 1 มิลลิเมตรในแมงมุมเพศเมีย แม้ว่าจะมีความเป็นพิษสูง ซึ่งจากการศึกษาพบว่า มีความเป็นพิษมากกว่าพิษงูหางกระดิ่งกว่า 15 เท่า แต่เนื่องจากปริมาณพิษที่ออกมาแต่ละครั้ง มีปริมาณน้อยและอาจดูดซึมกระจายเข้าสู่ร่างกายได้น้อย ดังนั้น ผู้ป่วยที่โดนกัดโดยทั่วไป จึงมักไม่มีอันตรายถึงแก่ชีวิต

อย่างไร ก็ตาม มีรายงานผู้เสียชีวิตจากแมงมุมแม่หม้ายดำในประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่เสมอ โดยอาการเจ็บป่วยจากพิษแมงมุมแม่หม้ายดำ จะมีอาการปวดคล้ายมีเข็มทิ่ม ทำให้ผิวหนังบริเวณที่ถูกกัดมีอาการบวมแดงได้ถึง 15 เซนติเมตร ขนลุก ปวดกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย กล้ามเนื้อเกิดการพลิ้วสั่น ในรายที่มีอาการปวดมาก อาจเกิด painful muscle cramp โดยเฉพาะกล้ามเนื้อท้องและกล้ามเนื้อขา นอกจากนี้ยังมีอาการปวดศีรษะ ชีพจรเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง เหงื่อออกมาก น้ำลายไหลเพิ่มขึ้น คลื่นไส้ อาเจียน อาจมีอาการชา ชัก อาการอ่อนแรง หายใจลำบาก บางรายมีความรู้สึก pavor mortis นอกจากการเกิดพิษจากการกัดแล้ว ยังมีรายงานการเกิดพิษจากการที่เศษแมงมุมที่ถูกบี้ทำลาย แล้วปลิวเข้าตา ทำให้เกิดเยื่อบุตาและเนื้อเยื่อตาโดยรอบอักเสบบวมแดงด้วย
       เมื่อโดนแมงมุมมีพิษกัดเราควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อจะได้รับการรักษาที่ทันถ่วงที อย่าปล่อยเอาไว้จนอาการรุกรามเพราะเมื่อถึงตรงนั้นแล้วยากต้องการรักษานะครับ
   อ้างอิงข้อมูลจาก:http://www.thairath.co.th/content/337832

วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เมื่อบอลโลกจบลง

สวัสดีครับ มาถึงตรงนี้ทุกท่านคงทราบกันแล้ว ว่าใครได้แชมป์ฟุตบอลโลก 2014 ไปครอง ถ้าใครไม่ทราบก็จะบอกให้นะครับ ผลการแข่งขันเมื่อคืนเป็นเยอรมันที่เอาชนะอาร์เจนติน่าไปได้นะครับ ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ด้วยผลการแข่ง 1-0(เยอรมันยิงได้นาที 113) มหกรรมทีผู้คนทั่วโลก โดยเฉพาะคนที่ชอบฟุตบอลเฝ้าติดตามก็ได้จบลงแล้ว มีทั้งดีใจสมหวังทีมที่ตัวเองเฝ้าเชียร์ประสบความสำเร็จ แต่ก็มีหลายคนที่ผิดหวัง แต่ก็เป็นธรรมดาครับอีก 4 ปีข้างหน้าเรามาว่ากันใหม่ แต่ก็มีบางคนเหมือนกันครับที่บอลจบแล้วแต่ผลบอล(น่าเรียกผลกรรมนะครับ)ยังไม่จบ ยังตามหลอกหลอนโดยเฉพาะท่านที่เล่นการพนันจนเกินตัว ในฟุตบอลหนนี้นั้นทีมที่เข้าร่วมแข่งขันมีขีดความสามารถที่ใกล้เคียงกันมาก ทำให้ผลการแข่งขันนั้นสูสีกันและบางคู่ก็หักปากกาเซียนเหมื่อนกัน ผลเหรอครับก็ทำให้ผู้เล่นพนันทายผิดเอาได้ จนเป็นข่าว ว่ามีคนที่เล่นพนันบอลแล้วหมดตัวจนต้องกินยาตายกันเลยที่เดียว
ครับสถิติจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า สถิติการจับกุมล่าสุดตั้งแต่เริ่มแข่งขันฟุตบอลโลกจนถึงปัจจุบัน มีการจับกุมผู้เล่นพนันแล้ว กว่า 4 พัน เป็น เจ้ามือกว่า 300 ราย และปิดเว็ปไซด์ที่ลักลอบเปิดทายผลพนันฟุตบอล 1,200 เว็ปไซด์ และอยู่ระหว่างดำเนินการอีกกว่า 300 เว็ปไซด์ ซึ่งเจ้ามือที่จับกุมได้ตำรวจจะขึ้นแบล็คลิสไว้แล้ว
  เมื่อถึงสาเหตุของการเล่นพนันในบ้านเรา ผลสำรวจของ ดีด้า(์NIDAPOLL)ได้สำรวจพบว่า  ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 31.65 ระบุว่า เป็นเพราะค่านิยมคนไทยที่ชอบการพนัน ชอบสนุก ชอบเสี่ยงโชค รองลงมา ร้อยละ 26.74 ระบุว่า เป็นเพราะช่องทางการพนันที่ง่ายขึ้น เช่น เล่นการพนันออนไลน์ (ผ่านเว็บไซต์) ร้อยละ 20.21 ระบุว่า เป็นเพราะเจ้าหน้าที่ของรัฐรับสินบนจากโต๊ะพนันบอล ร้อยละ 10.98 ระบุว่า เป็นเพราะ พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478 เป็นกฏหมายที่ล้าสมัย เพราะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ร้อยละ 6.28 ระบุว่า เป็นเพราะประเทศไทยมีการถ่ายทอดสดฟุตบอลต่างประเทศตลอด ร้อยละ 3.68 ระบุว่า เป็นเพราะการวิเคราะห์ทำนายผลฟุตบอลของกูรู นักวิเคราะห์ ร้อยละ 0.42 ระบุว่า เกิดจากปัจจัยอื่น ๆ ได้แก่ ขาดการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจริง และการกวดขันของเจ้าหน้าที่ ไม่มีบ่อนการพนันที่ถูกต้องตามกฎหมาย ภาวะทางเศรษฐกิจ และ ร้อยละ 0.04 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ
 ครับนี้เป็นข้อมูลโดยย่อของการพนันบอลในบ้านเรานะครับ ทางแก้ที่ดีที่สุด ผมคิดว่าคงอยู่ที่เรานี้ละครับต้องช่วยกัน เป็นหู เป็นตาให้ทางการและเลิกได้ก็เลิกเถอะครับ การพนันไม่เคยทำให้ใครรวยอย่างยั้งยืนหรอกครับ
อ้างอิงข้อมูลดีจาก:http://nidapoll.nida.ac.th/top_news_calendar-26-7-2014-68---128.html#.U8NeokDpxRY,
http://www.patrolnews.net/crime/%E0%B8%95%E0%B8%A3-%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%B1.html 


วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

มาเลิกเหล้าเข้าพรรษา กันเถอะ

สวัสดีครับอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเข้าพรรษากันอีกแล้ว...วันเข้าพรรษาที่ไรทั้งภาครัฐภาคเอกชนก็ออกมารณรงค์ให้คนที่เป็นสิงห์นักดื่มทั้งหลาย ให้งด ละ เลิกดื่มเหล้าตามสโลแกน "เลิกเหล้าเข้าพรรษา" และก็ตามสถิติอีกเหมื่อนกันที่ชี้ว่าบ้านเรายังอยู่อันดับต้นๆของโลกในเรื่องการดื่มน้ำเมา ชนิดเมากันปลิ้นทั่วบ้านทั่วเมือง และเป็นฝ่ายชายครับที่ครองแชมป์นักดื่มไปครอง
(สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่http://www.thaihealth.or.th/Multimedia/1862/%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0)
ครับการดื่มเหล้านั้นดีไม่ดีนี้ทุกๆท่านล้วนทราบกันอยู่แล้วนะครับ ถ้าดื่มพอประมาณหรือดื่มเท่าที่จำเป็นคงไม่เป็นไรหรอกครับ แต่เพราะดื่มมากจนขาดสติ เพราะข้อเสียอย่างหนึ่งของเหล้าที่ผมว่ามันสำคัญมากๆคือการขาดสติ การขาดสตินั้นเป็นต้นเหตุของปัญหาหลายๆอย่างที่ตามมาครับไม่ว่าจะเป็น การทำร้ายร่างกาย ทำลายทรัพย์สิน อุบัติเหตุ ซึ่งนำความสูญเสียมาสู่ตัวเราเองและคนรอบข้างอย่างไม่ได้ตั้งใจ เข้าพรรษาปีนี้ผมจึงอยากจะชวนทุกท่านมาเลิกเหล้า หรือจะลองงดดูก่อนก็แล้วแต่สะดวก เพื่อตัวเราเอง คนที่เรารักและผู้คนรอบข้างจะได้ไม่เดือดร้อน เรารองมาดูวิธี ลด ละ เลิกเหล้ากันครับ

การ หยุดดื่มสุราโดยทันทีเหมาะสำหรับผู้ดื่มที่ไม่มีอาการถอนพิษสุราในช่วงเช้า หลังตื่นนอน เช่น คลื่นไส้ อาเจียน มือสั่น ใจสั่น เหงื่อแตก เป็นต้น  และไม่เคยมีอาการถอนพิษสุราที่รุนแรงหลังหยุดดื่มสุราในอดีต เช่น อาการชัก กระสับกระส่ายอย่างรุนแรง สมองสับสน หูแว่ว ประสาทหลอน เป็นต้น  เนื่องจากความเสี่ยงต่อการถอนสุรารุนแรงมีไม่มาก
ผู้ดื่มที่หยุดดื่มโดยทันที ควรติดตามอาการของตนเอง โดยเฉพาะในช่วง 3 วันแรก หากมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนรุนแรง มือสั่น ใจสั่น เหงื่อแตก หงุดหงิดกระสับกระส่ายเพิ่มมากขึ้น ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อช่วยบำบัดในการถอนพิษสุรา
ผู้ที่เลิกดื่มในช่วงเริ่มต้น ควรปฏิบัติตน ดังนี้
1. รับประทานอาหารให้เพียงพอ
2. จิบน้ำหวานบ่อยๆ เพื่อเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย
3. หลีกเลี่ยงอาหารมัน เนื่องจากตับอาจจะยังทำงานได้ไม่ดี 
4. รับประทานวิตามิน B1-6-12 ชดเชยครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 ครั้งหลังอาหาร 
5. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 
6. พยายามกระทำกิจกรรมที่ให้ความสุขใจ ไม่ปล่อยให้ตนเองว่าง ผ่อนคลายความเครียดด้วยดนตรี เล่นกีฬาเบาๆ ทำงานศิลปะ เป็นต้น 
7. หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่เสี่ยงหรือตัวกระตุ้นเร้าให้อยากดื่ม เช่น ร้านขายสุรา เพื่อนที่ดื่ม เป็นต้น 
8. บอกกับบุคคลในครอบครัวและคนใกล้ชิดว่าตนเองกำลังเลิกสุรา ช่วยเป็นกำลังใจให้ด้วย 
9. ปฏิเสธเพื่อนที่มาชวนดื่มว่า ตนเองกำลังมีปัญหาโรคตับ หมอสั่งให้งดการดื่ม 
10. หากผู้ดื่มเป็นผู้ที่สูบบุหรี่ด้วย ควรควบคุมปริมาณบุหรี่ที่สูบไม่ให้เพิ่มมากขึ้น หรือหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่เป็นทางออก 
- See more at: http://www.1413.in.th/content-view-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%9A.htm#sthash.cnOrkaD2.dpuf
 10 วิธีเลิกเหล้า
 1. ตั้งใจจริง  การเลิกเหล้าไม่ใช่เรื่องยาก ถ้ามีความตั้งใจความสำเร็จย่อมไม่ไกลเกินเอื้อม
2. ตั้งเป้าว่าจะเลิกเหล้าเพื่อใคร เพราะเหตุใด เช่น เพื่อพ่อแม่…เพราะการดื่มเหล้าของเราทำให้พ่อแม่ไม่สบายใจเพื่อตัวเอง… จะได้มีสุขภาพดีแถมมีเงินเก็บมากขึ้น เพื่อลูกและครอบครัว…เพราะเหล้า เข้าปากทีไร เป็นต้องทะเลาะกันทุกที ถ้าเลิกเหล้าก็คงทะเลาะกันน้อยลงครอบครัวจะได้มีความสุข มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น…เป็นต้น
3. หยุดทันที! คนที่มีแนวคิดว่าเพียงแค่ดื่มเพื่อความสนุกสนานหรือต้องการเข้าสังคม เมื่อตั้งใจที่จะเลิกเหล้า ก็ต้องพยายามหักห้ามใจ และหยุดดื่มทันที
4. ปรับเปลี่ยนนิสัยการดื่ม สำหรับคนที่เคยดื่มเหล้าเป็นประจำอาจเลิกทันทีได้ยาก ให้ลองใช้วิธีดังต่อไปนี้ ซึ่งอาจช่วยให้ดื่มเหล้าน้อยลงได้ เช่น ดื่ม เหล้าพร้อมกับการรับประทานอาหาร หรือ หมั่นดื่มน้ำเปล่าควบคู่ไปด้วยระหว่างการดื่มเหล้า เปลี่ยนขนาดของแก้ว จากแก้วใหญ่เป็นแก้วเล็กดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ต่ำกว่าทดแทนไปก่อนใน ระยะแรก
5. ตั้งเป้าว่าจะลดปริมาณการดื่ม เช่น จากที่เคยดื่มวันละ 8 แก้ว ก็อาจจะลดปริมาณการดื่มลงไปเรื่อยๆ จนเหลือวันละ 1 แก้ว และไม่ดื่มเลยแม้แต่แก้วเดียวในที่สุด
6. หลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่างๆ ความเสี่ยงในที่นี้คือ สถานการณ์หรือสถานที่ตลอดจนปัจจัยแวดล้อมที่ทำให้เราดื่มเหล้าได้ง่ายขึ้น ได้แก่ ช่วงเวลาหลังเลิกงาน วันเงินเดือนออก วาระหรือโอกาสพิเศษต่างๆ การไปเที่ยวผับหรือร้านอาหาร สถานบันเทิง การชักชวนจากกลุ่มเพื่อนที่ดื่มจัด รวมถึงสาเหตุต่างๆ ที่นำไปสู่อาการเหน็ดเหนื่อย ทดท้อ เหงา เศร้า เครียด ฯลฯ
7. เมื่อมีเวลาว่าง ให้ทำกิจกรรมอื่นที่สร้างสรรค์แทนการดื่มสังสรรค์ ทำกิจกรรมเพื่อสุขภาพหลังเลิกงาน เช่น ออกกำลังกาย – เล่นกีฬาฉลองวาระพิเศษต่างๆ ด้วยแนวปฏิบัติแบบใหม่ เช่น ไปทำบุญแทนการดื่มเมื่อรู้สึกเหงา เศร้าหรือเครียด ให้หากิจกรรมสร้างสรรค์และจรรโลงจิตใจทำทันที อาทิ อ่านหนังสือ ฟังเพลง ชมภาพยนตร์ ตลอดจน เล่นกีฬา ฯลฯ
8. ฝึกปฏิเสธให้เด็ดขาด เช่น ถ้าเพื่อนคะยั้นคะยอให้ดื่ม ให้บอกเค้าไปว่า ” หมอห้ามดื่ม , ไม่ว่างต้องไปทำธุระ ฯลฯ…”
9. หาที่พึ่งทางใจรวมถึงหากำลังใจจากคนรอบข้าง เช่น พ่อแม่ คนรัก ลูก หรือเพื่อนสนิท ที่สามารถปรึกษาหารือให้คำแนะนำดีๆ แก่เราได้ และพร้อมให้ความช่วยเหลือเมื่อเราต้องการ นอกจากนี้การพูดคุยหรืออ่านประสบการณ์ของคนที่เลิกเหล้าสำเร็จ ก่อนจะพบกับความสวยงามของชีวิตย่อมช่วยสร้างกำลังใจให้กับเราได้มากอย่างที เดียว
10.ปรึกษาหน่วยงานช่วยเหลือ หากไม่สามารถเลิกเหล้าด้วยตัวเองควรปรึกษาหน่วยงานช่วยเหลือดังต่อไปนี้
สายด่วนยาเสพติด สถานธัญรักษ์ กรมการแพทย์ โทร: 1165
สายด่วนเลิกเหล้า ศูนย์ปรึกษาปัญหาสุรา โทร: 1413
โรงพยาบาลและสำนักงาน สาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ
 วิธีช่วยสามีหรือภรรยาให้เลิกเหล้า

การชักจูงให้สามีหรือภรรยาเลิกสุรานั้น การใช้วิธีการขู่ ดุด่า ขอร้อง หรือกระทั่งยื่นคำขาดเอาความสัมพันธ์มาเป็นเดิมพัน ผลที่ได้อาจไม่คุ้มกับที่เราต้องแลกมา เพราะอาจทำให้คุณเสียใจ เสียแรง และเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เทคนิควิธีการที่เหมาะสม และให้ผลดีในการพูดคุยกับสามีหรือภรรยาที่ดื่มสุรา มีดังนี้
1. ควรพูดในเวลาที่เหมาะสม นั่นคือ ช่วงที่เขาไม่เมา เพราะตอนนั้นเขามีสติสัมปชัญญะที่จะสามารถรับฟังเหตุผลของคุณได้มากที่สุด ไม่ควรพูดในช่วงที่เขาเมาอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ด่าว่า ไม่ยืนเหนือกว่าเขา หรือมองด้วยแววตาที่ดุดัน เพราะจะยิ่งทำให้เขาก้าวร้าว และอาจจะทำร้ายคุณได้
2. ไม่เซ้าซี้ให้ผู้ดื่มเลิกสุราอยู่ตลอดเวลา แต่เปลี่ยนเป็นการแสดงความเป็นห่วงเรื่องสุขภาพด้วยความจริงใจ และชวนไปตรวจสุขภาพแทน หากไม่ได้ผล ควรทิ้งระยะเวลาช่วงหนึ่งแล้วค่อยแสดงความเป็นห่วงสุขภาพอีก
3. หากผู้ดื่มเต็มใจอยากเลิกสุรา หรือบ่นว่าอยากเลิก คุณไม่ควรละเลยโอกาสนี้ โดยสิ่งแรกที่คุณควรทำคือการ
ชื่นชมในความคิดส่วนนี้ของเขา ให้กำลังใจ ให้ความเชื่อมั่นว่าเขาจะทำได้ และคุณจะอยู่เคียงข้างเขา จากนั้นแนะนำวิธีการช่วยเหลือแก่เขา โดยให้ความเชื่อมั่นว่าแพทย์จะสามารถช่วยเหลือเขาให้เลิกสุราได้สำเร็จและ ไม่ต้องทรมาน จากนั้นจึงพาผู้ดื่มไปยังสถานพยาบาลที่ให้การช่วยเหลือ
ในกรณีที่ให้ข้อมูลวิธีการช่วยเหลือจากแพทย์แล้ว ผู้ดื่มยืนยันหนักแน่นว่าจะไม่ไป แต่จะขอหยุดดื่มด้วยตนเอง คุณอาจสอบถามถึงสาเหตุที่ไม่ไปพบแพทย์ และอาจให้ความมั่นใจอีกครั้งว่า การพบแพทย์เป็นวิธีการที่ปลอดภัย ไม่ทรมาน และมีโอกาสประสบความสำเร็จสูง โดยแพทย์จะมีตัวยาช่วยเหลือ แต่หากสามีหรือภรรยาของคุณยังยืนยันที่จะหยุดดื่มด้วยตนเองอยู่ คุณก็ไม่ควรไปเซ้าซี้ต่อ แต่ก็ให้เขาลองหยุดดื่มด้วยตนเองก่อน โดยคุณควรศึกษาเกี่ยวกับวิธีการหยุดดื่มด้วยตนเองเพื่อนำไปช่วยเหลือเขาต่อ ไป
หากมีปัญหาหรือข้อสงสัย โทรมาคุยกับเราได้ที่ สายด่วน 1413 ศูนย์ปรึกษาปัญหาสุราทางโทรศัพท์
วิธีหักดิบ

การหยุดดื่มสุราโดยทันทีเหมาะสำหรับผู้ดื่มที่ไม่มีอาการถอนพิษ สุราในช่วงเช้าหลังตื่นนอน เช่น คลื่นไส้ อาเจียน มือสั่น ใจสั่น เหงื่อแตก เป็นต้น  และไม่เคยมีอาการถอนพิษสุราที่รุนแรงหลังหยุดดื่มสุราในอดีต เช่น อาการชัก กระสับกระส่ายอย่างรุนแรง สมองสับสน หูแว่ว ประสาทหลอน เป็นต้น  เนื่องจากความเสี่ยงต่อการถอนสุรารุนแรงมีไม่มาก
ผู้ดื่มที่หยุดดื่มโดยทันที ควรติดตามอาการของตนเอง โดยเฉพาะในช่วง 3 วันแรก หากมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนรุนแรง มือสั่น ใจสั่น เหงื่อแตก หงุดหงิดกระสับกระส่ายเพิ่มมากขึ้น ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อช่วยบำบัดในการถอนพิษสุรา
ผู้ที่เลิกดื่มในช่วงเริ่มต้น ควรปฏิบัติตน ดังนี้
1. รับประทานอาหารให้เพียงพอ
2. จิบน้ำหวานบ่อยๆ เพื่อเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย
3. หลีกเลี่ยงอาหารมัน เนื่องจากตับอาจจะยังทำงานได้ไม่ดี
4. รับประทานวิตามิน B1-6-12 ชดเชยครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 ครั้งหลังอาหาร
5. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
6. พยายามกระทำกิจกรรมที่ให้ความสุขใจ ไม่ปล่อยให้ตนเองว่าง ผ่อนคลายความเครียดด้วยดนตรี เล่นกีฬาเบาๆ ทำงานศิลปะ เป็นต้น
7. หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่เสี่ยงหรือตัวกระตุ้นเร้าให้อยากดื่ม เช่น ร้านขายสุรา เพื่อนที่ดื่ม เป็นต้น
8. บอกกับบุคคลในครอบครัวและคนใกล้ชิดว่าตนเองกำลังเลิกสุรา ช่วยเป็นกำลังใจให้ด้วย
9. ปฏิเสธเพื่อนที่มาชวนดื่มว่า ตนเองกำลังมีปัญหาโรคตับ หมอสั่งให้งดการดื่ม
10. หากผู้ดื่มเป็นผู้ที่สูบบุหรี่ด้วย ควรควบคุมปริมาณบุหรี่ที่สูบไม่ให้เพิ่มมากขึ้น หรือหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่เป็นทางออก
หากมีปัญหาหรือข้อสงสัย โทรมาคุยได้ที่ สายด่วน 1413 ศูนย์ปรึกษาปัญหาสุราทางโทรศัพท์
 ขอให้ทุกคนที่จะหรือมีความตั้งใจที่จะเลิกดื่มเหล้าจงประสบความสำเร็จทุกท่านครับ ขอให้มีสุขภาพ ร่างกายที่แข็งแรง ไม่เจ็บไม่ไข้ตลอดไปครับ
(อ้างอิงข้อมูลจากhttp://club.sanook.com/11413/%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5-%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%8A/)
http://www.thaihealth.or.th สสส. สายด่วน1413)


การ หยุดดื่มสุราโดยทันทีเหมาะสำหรับผู้ดื่มที่ไม่มีอาการถอนพิษสุราในช่วงเช้า หลังตื่นนอน เช่น คลื่นไส้ อาเจียน มือสั่น ใจสั่น เหงื่อแตก เป็นต้น  และไม่เคยมีอาการถอนพิษสุราที่รุนแรงหลังหยุดดื่มสุราในอดีต เช่น อาการชัก กระสับกระส่ายอย่างรุนแรง สมองสับสน หูแว่ว ประสาทหลอน เป็นต้น  เนื่องจากความเสี่ยงต่อการถอนสุรารุนแรงมีไม่มาก
ผู้ดื่มที่หยุดดื่มโดยทันที ควรติดตามอาการของตนเอง โดยเฉพาะในช่วง 3 วันแรก หากมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนรุนแรง มือสั่น ใจสั่น เหงื่อแตก หงุดหงิดกระสับกระส่ายเพิ่มมากขึ้น ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อช่วยบำบัดในการถอนพิษสุรา
ผู้ที่เลิกดื่มในช่วงเริ่มต้น ควรปฏิบัติตน ดังนี้
1. รับประทานอาหารให้เพียงพอ
2. จิบน้ำหวานบ่อยๆ เพื่อเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย
3. หลีกเลี่ยงอาหารมัน เนื่องจากตับอาจจะยังทำงานได้ไม่ดี 
4. รับประทานวิตามิน B1-6-12 ชดเชยครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 ครั้งหลังอาหาร 
5. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 
6. พยายามกระทำกิจกรรมที่ให้ความสุขใจ ไม่ปล่อยให้ตนเองว่าง ผ่อนคลายความเครียดด้วยดนตรี เล่นกีฬาเบาๆ ทำงานศิลปะ เป็นต้น 
7. หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่เสี่ยงหรือตัวกระตุ้นเร้าให้อยากดื่ม เช่น ร้านขายสุรา เพื่อนที่ดื่ม เป็นต้น 
8. บอกกับบุคคลในครอบครัวและคนใกล้ชิดว่าตนเองกำลังเลิกสุรา ช่วยเป็นกำลังใจให้ด้วย 
9. ปฏิเสธเพื่อนที่มาชวนดื่มว่า ตนเองกำลังมีปัญหาโรคตับ หมอสั่งให้งดการดื่ม 
10. หากผู้ดื่มเป็นผู้ที่สูบบุหรี่ด้วย ควรควบคุมปริมาณบุหรี่ที่สูบไม่ให้เพิ่มมากขึ้น หรือหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่เป็นทางออก 
- See more at: http://www.1413.in.th/content-view-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%9A.htm#sthash.cnOrkaD2.dpuf

วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ทำความดี ในวันอาสาฬหบูชา

วันอาสาฬหบูชาได้รับการยกย่องเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เนื่องจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ 45 ปี ก่อนพุทธศักราช ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 คือวันอาสาฬหปุรณมีดิถี หรือวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นมคธ อันเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาเป็นครั้งแรกเป็นปฐมเทศนา คือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5
การแสดงธรรมครั้งนั้นทำให้พราหมณ์โกณฑัญญะ 1 ใน 5 ปัญจวัคคีย์ เกิดความเลื่อมใสในพระธรรมของพระพุทธเจ้า จนได้ดวงตาเห็นธรรมหรือบรรลุเป็นพระอริยบุคคลระดับโสดาบัน ท่านจึงขออุปสมบทในพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา พระอัญญาโกณฑัญญะจึงกลายเป็นพระสงฆ์องค์แรกในโลก และด้วยเหตุที่ท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคล (อนุพุทธะ) เป็นคนแรก จึงทำให้ในวันนั้นมีพระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์เป็นครั้งแรกในโลก คือ มีทั้งพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้วันนี้ถูกเรียกว่า "วันพระธรรม" หรือ วันพระธรรมจักร อันได้แก่วันที่ล้อแห่งพระธรรมของพระพุทธเจ้าได้หมุนไปเป็นครั้งแรก และ "วันพระสงฆ์" คือวันที่มีพระสงฆ์เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก อีกด้วย
เดิมนั้นไม่มีการประกอบพิธีการบูชาในเดือน 8 หรือวันอาสาฬหบูชาในประเทศพุทธเถรวาทมาก่อน จนมาในปี พ.ศ. 2501 การบูชาในเดือน 8 หรือวันอาสาฬหบูชาจึงได้เริ่มมีขึ้นในประเทศไทย ตามที่คณะสังฆมนตรี ได้กำหนดให้วันนี้เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาของประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. 2501 โดยคณะสังฆมนตรีได้มีมติให้เพิ่มวันอาสาฬหบูชาเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาในประเทศไทย ตามคำแนะนำของ พระธรรมโกศาจารย์ (ชอบ อนุจารี)โดยคณะสังฆมนตรีได้ออกเป็นประกาศสำนักสังฆนายกเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2501 กำหนดให้วันอาสาฬหบูชาเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาพร้อมทั้งกำหนดพิธี อาสาฬหบูชาขึ้นอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยมีพิธีปฏิบัติเทียบเท่ากับวันวิสาขบูชาอันเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาสากล
อย่างไรก็ตาม วันอาสาฬหบูชาถือเป็นวันสำคัญที่กำหนดให้กับวันหยุดของรัฐเพียงแต่ในประเทศ ไทยเท่านั้น ส่วนในต่างประเทศที่นับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาทอื่น ๆ ยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับวันอาสาฬหบูชาเทียบเท่ากับวันวิสาขบูชา 
ครับวันอาสาฬหก็เป็นอีกวันหนึ่งที่สำคัญสำหรับชาวพุทธ โดยเฉพาะคนไทยเรา จริงๆการทำความดีนั้นเราควรจะทำทุกๆวันอยู่แล้ว แต่ถ้ายังไม่ได้เริ่มก็เอาวันนี้ละครับเป็นวันแรก เพราะให้หลังอีกวันก็เป็นวันเข้าพรรรษาแล้วด้วยซึ่งบ้างคนอาจตั้งใจทำความดีตลอดช่วงเข้าพรรษาเลยก็ได้ทั้ง งดเหล้าเข้าพรรษา ไม่โกหก(เจ้านาย...อันนี้ผมล้อเล่นนะครับ)รักษาศีลตามกำลัง คือ Basic หน่อยก็ ศีล 5 มั้นใจอีกนิดก็ศีล8หรืจะเอาศีล10เท่ากับเณรเลยก็ได้ แต่สำคัญต้องดูตัวเราก็ครับถ้าไม่ไหวเอาแค่ศีล 5ก่อนก็ไม่ผิดเหรอกครับ ทำจิตใจให้สบายครับ บุญกุศลจะทำให้เราพบเจอแต่สิ่งที่ดีๆ อาจจะไม่เกิดทันตาเห็นแต่ความดีจะมาสู่ผู้ที่ตั้งใจทำความดีด้วยความบริสุทธิ์ใจแน่นอน สุดท้ายก็ขอให้ทุกท่านจงมีแต่ความสุขในการการทำความดีในวันอาสาฬหบูชาและตลอดช่วงเข้าพรรษานี้ด้วยเทอญ.........

วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

"แมวดาว"ไม่เชื่องอย่างที่คิด


แมวดาว (อังกฤษLeopard catชื่อวิทยาศาสตร์Prionailurus bengalensis) เป็นสัตว์ป่าสงวนตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 เข้าข่ายใกล้สูญพันธ์ ซึ่งขณะนี้มีการแอบนำมาโพสขายกันในเพจในราคาตั้งแต่3,500-5,000บาทและตามสถานที่ขายสัตว์ป่า ซึ่งในอินเตอร์เน็ตผู้ขายอ้างว่าแมวดาวเป็นสัตว์ที่สามารถเลี้ยงให้เชื่องได้ และเพาะพันธ์ได้ไม่เป็นอัตรายซึ่งไม่เป็นความจริงครับ ก่อนจะว่ากันต่อเรามาทำความรู้จักแมวดาวกันซักนิดนะครับ 
แมวดาว (อังกฤษLeopard catชื่อวิทยาศาสตร์Prionailurus bengalensis) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกเสือขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีรูปร่างเท่า ๆ กับแมวบ้าน แต่มีความคล่องแคล่วว่องไวกว่ามาก ขนตามลำตัวมีสีน้ำตาลอมเทา ลักษณะเด่นคือ ตามลำตัวมีจุดขนาดเล็กสีดำกระจายอยู่ทั่วไป ด้านข้างของหัวมีแถบสีน้ำตาลเข้ม 4—5 แถบ ขนบริเวณท้องมีสีขาวนวล แมวดาวตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าตัวเมีย แมวดาวมีความยาวลำตัวและหัว 44.5—55 เซนติเมตร ความยาวหาง 23—29 เซนติเมตร น้ำหนัก 3—5 กิโลกรัม(อ้างอิงจาก:http://th.wikipedia.org/wiki/แมวดาว)พบได้ทั่วไปทั้งไทย พม่า ลาวและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมไปถึงญีปุ่นและจีนอีกด้วย 
เนื่องจากมีขนานใกล้เคียงกับแมวบ้านจึงมีผู้ลักลอบนำมาขายและบอกว่าสามารถเลี้ยงให้เชื่องได้ ซึ้งไม่เป็นความจริงนะครับ ถึงจะมีความเชื่องแต่เนื่องจากมีสัญชาติญาณของสัตว์ป่าอยู่ อาจทำร้ายเจ้าของได้เนื่องจากแมวดาวมีกรงเล็บที่แหลมคม มีนิสัยค่อนข้างดุร้าย และอีกอย่างคือการนำมาเลี้ยงอาจจะเป็นการนำโรคมาแพร่ระบาดก็ได้ เช่น โรคพยาธิ โรคพิษสุนัขบ้า โรคฉี่หนู และร่วมไปถึงโรคซาร์ส และไข้หวัดนกอีกด้วย ที่สำคัญที่สุดใครที่มีแมวดาวไว้ในครอบครองหรือนำมาขายมีความผิด ตาม พ.ร.บ สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 มีโทษจำคุกไม่เกิน 4 ปี ปรับไม่เกิน 40,000บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ทางที่ดีเราปล่อยให้เขามีอิสระในป่าใหญ่จะดีกว่านะครับ อย่าเอามาเลี้ยงเลย

วันพุธที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

AEC(ASEAN Economic Community:AEC) กับแรงานไทย

        ประเทศไทยจะเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(ASEAN Economic Community:AEC) ในปีหน้ากันแล้วเรามาทำความรู้จักและทำความเข้าใจ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC)และสิ่งที่แรงงานไทยอย่างพวกเราควรรู้พอสังเขปกันนะครับ เริ่มกันที่ความเป็นมากันก่อน AEC พัฒนามาจากการเป็น สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(The Association of South East Asian Nation)
ก่อตั้งขึ้นตามปฎิญญากรุงเทพ(Bangkok Declaration) เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2510 โดยมีประเทศสมาชิกเริ่มแรก 5 ประเทศ ดังนี้ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์และไทย ปี2527 บรูไน เข้าเป็นสมาชิก ปี2538 เวียนนามเข้าเป็นสมาชิก ตามด้วย ลาวและพม่าในปี2540 สุดท้ายปี2542 กัมพูชาก็เข้าร่วมเป็นชาติที่ 10 ทำให้อาเซียนเป็นเขตเศรษฐกิจที่ใหญ่ มีประชากรโดยรวม 500 ล้านคน จากการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 9 ที่อินโดนีเซีย ได้ข้อสรุปให้มีการจัดตั้งประชาคมอาเซียน(Asean Community) ประกอบด้วย 3 เสาหลักคือ
1.ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
2.ประชาคมและวัฒนธรรมอาเซียน
3.ประชาคมความม่นคงอาเซียน
คำขัญของอาเซียนคือ "One Vision, One indentity,One Community" หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งอัตลักษณ์ หนึ่งประชาคม หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thai-aec.com
เอาละครับนี้คือที่มาโดยย่อหรือพอสังเขปของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ทีนี้เรามาว่าจะมีผลอย่างไรบ้างเมื่อจัดตั้งแล้วโดยเฉพาะกับเรื่องแรงงาน ของชาติต่างๆโดยเฉพาะแรงงานไทย
 ก่อนจะว่ากันต่อเรามาดูAEC Blueprint หรือแนวทางของAEC กันครับ
1.การเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียวกัน
2.การเป็นภูมิภาคที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันสูง
3.การเป็นภูมิภาคที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจที่เท่าเทียมกัน
4.การเป็นภูมิภาคที่บูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลก
โดยแต่ละประเทศก็มีจุดเด่นที่แต่ต่างกันครับ จุดเด่นของแต่ละประเทศมีดังนี้
พม่า จุดดเด่นของพม่าคือเกษตรและประมง มาเลเซีย มีจุดเด่นในด้านการผลิตภัณฑ์ยาง และสิ่งทอ อินโดนีเซียมีจุดเด่นที่ ภาพยนต์และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไม้ สิงคโปส์โดดเด่นเรื่องสารสนเทศและสุขภาพ ไทย ท่องเที่ยวและการบิน(ไทยอยู่ตรงกลางนะครับ) โดยสรุปง่ายๆ คือ
  เมืองไทยน่าจะไม่ขาดแรงงานฝีมือเพราะแรงงานจะเคลือนย้ายได้โดยเสรี จะมีแรงงานจาก พม่า ลาว กัมพูชาเข้ามาทำงานในไทยมากขึ้น(ซึ่งตอนนี้ก็มากอยู่แล้ว ราวๆ5 ล้านคนโดยรวมที่เข้ามาถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมาย ซึ่งทางการไทยก็พยายามทำให้แรงงานเหล่านี้เข้ามาอยู่ในระบบก่อนที่จะเข้าสู่AECครับ) อาจเกิดภาวะสมองไหล สัมหรับแรงงานไทยที่มีความสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ อาจไหลเข้าไปทำงานที่ สิงคโปส์ที่มีอุตสาหกรรมซอร์ฟแวร์เป็นจุดเด่นหรืแรงงานที่มีความสามารถได้ภาษาเข้ามาแย่งงานแรงงานไทยได้ครับ แรงงานชาวไทยจึงต้องเตรียมความพร้อมของตัวเอง พัฒนาฝีมือและภาษาให้เท่าเทียม(อย่างแรงงานต่างด้าวชาวพม่าที่เข้ามาทำโรงงานท่อผ้าแถวๆบ้านผมส่วนมากเข้าพูดอ่านอังกฤษได้นะครับ แต่บ้างที่เขาก็ไม่พูด เขาบอกว่ากลัว อันนี้ผมก็ไม่ทราบว่าเขากลัวอะไร)
ส่วนปัญหาที่จะตามมาอยู่แล้วคือเรื่องสังคมและอาชญากรรมซึงรัฐบาลต้องเอาใจใส่และว่างแผนรับมือครับ เอาละครับถ้ามีข้อมูลและความคืบหน้าและข่าวของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน กระผมจะนำมาเสนออีกในคราวหน้าครับ 
ข้อมูลอ้างอิงจากhttp://thai-aec.com