ค้นหาบล็อกนี้

วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

"วันพ่อ"

 ใกล้เข้ามาทุกขณะ สำหรับวันสำคัญอีกวันหนึ่งของคนไทย นั้นคือวันพ่อแห่งชาติ วันพ่อแห่งชาตินั้นตรงกับวันที่่ 5 ธันวาคมของทุกปี วันพ่อแห่งชาตินั้น ได้มีการจัดขึ้นครั้งแรก เมื่อวันที่ 5ธันวาคม 2523 โดย คุณหญิงเนื้อทิตย์ เสมรสุต นายกผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษา

วันพ่อแห่งชาติ 2557 ประวัติความเป็นมาความสำคัญของวันพ่อ

 
    พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (ราชบัณฑิตยสถาน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หน้า 587) พ.ศ. 2525 ได้ให้ความหมายคำว่า “พ่อ” ไว้ดังนี้
 
     พ่อ หมายถึง ชายผู้ให้กำเนิดแก่ลูก, คำที่ลูกเรียกชายผู้ให้กำเนิดตน
     ในทางพุทธศาสนา ได้ให้ความหมายของคำว่า “พ่อ” หมายถึง ชายผู้ให้กำเนิดแก่ลูกมีใช้หลายคำ เช่น
         
     - บิดา (พ่อ)
     - ชนก (ผู้ให้กำเนิด)
     - สามี (ผัวของแม่) เป็นต้น
 
     วันพ่อแห่งชาติ  5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทางราชการได้กำหนดให้เป็นวันหยุดราชการหนึ่งวัน เพื่อให้ประชาชนชาวไทย ได้ร่วมกันเฉลิมฉลองในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและถือเป็นวันพ่อแห่งชาติ อีกวันหนึ่งด้วย
 
      วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือวันพ่อแห่งชาติ มีความเป็นมาของวันสำคัญ คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ โรงพยาบาล เมาท์ ออเบิร์น นครบอสตัน สหรัฐอเมริกา โดยนายแพทย์วิทท์มอร์เป็นผู้ถวายการประสูติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 9 แห่งบรมจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์ ทรงประกอบพระราชกรณียกิจและเจริญพระราชจริยาวัตรเป็นเอนกประการจำเนียรกาลผ่านมาถึงปัจจุบันที่สุดจะพรรณนาให้ครบถ้วนได้ท่ามกลางมหาสมาคมวันพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกทรงมีกระแสพระราชดำรัสที่ พสกนิกรทุกคนยังจดจำได้ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม” อันคำว่าโดย “ธรรม” นั้น ทรงหมายถึง ธรรมอันล้ำเลิศที่เรียกว่า “ทศพิธราชธรรม” หรือที่เรียกกันโดยสามัญว่า “ราชธรรม 10 ประการ”
  ราชธรรม 10 ประการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยึดมั่นทรงปฎิบัติโดยเคร่งครัด และส่งผลถึงพสกนิกรทั่วพระราชอาณาจักรนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเหนือเกล้าฯ ห่วงใยตั้งแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งพระเจ้าหลานเธอทุกพระองค์ต่างซาบซึ้งและปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณอย่างมิรู้ลืม พระองค์ทรงเป็น “พ่อ” ตัวอย่างของปวงชนชาวไทยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา ทรงห่วงใยอย่างหาที่เปรียบมิได้
 
     “...บ้านเมืองของเราเป็นปึกแผ่นร่มเย็นปกติสุขมาช้านาน เพราะเรามีความยึดมั่นในชาติและต่างร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกันทำหน้าที่โดยนึกถึงประโยชน์ส่วนรวมของชาติเป็นเป้าหมายสำคัญสูงสุด ท่านทั้งหลายในสมาคมนี้ ตลอดจนคนไทยทุกหมู่เหล่า จึงควรทำความเข้าใจในหน้าที่ของตนไว้ให้กระจ่างและนำไปปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ด้วยความไม่ประมาท และด้วยความมีสติ…”
 
      (พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม ณ พระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย พระบรมมหาราชวัง) 
  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นพุทธศาสนิกชนที่มีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นที่ยิ่ง เมื่อพุทธศักราช 2499 มีพระราชประสงค์ที่จะทรงพระผนวชในพระบวรพุทธศาสนาตามโบราณราชประเพณี นายกรัฐมนตรีได้กราบบังคมทูลพระกรุณาขอรับพระราชภาระสนองพระเดชพระคุณในการทรงพระผนวชในนามของรัฐบาลและประชาชนชาวไทยและได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้แต่งตั้งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร

     ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้ทรงพระผนวชในพระบวรพุทธศาสนา 15 วัน ระหว่างวันที่ 22 ตุลาคม - 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499

กิจกรรมที่ควรปฎิบัติในวันพ่อแห่งชาตินี้

      1. ในวันพ่อแห่งชาติเราควรประดับธงชาติไทยที่อาคารบ้านเรือน

      2. จัดพิธีศาสนสงฆ์ ทำบุญใส่บาตร อุทิศเป็นพระราชกุศล น้อมเกล้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล

     3. จัดกิจกรรมเกี่ยวกับการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล
 

ความเป็นมาของวันพ่อแห่งชาติ  

      วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริเริ่มหลักการและเหตุผลในการจัดตั้งวันพ่อแห่งชาติ พ่อเป็นผู้มีพระคุณที่มีบทบาทสำคัญต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสมควรที่สังคมจะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็น “วันพ่อแห่งชาติ” ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างนานัปการ ทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงรักใคร่และให้ดอกพุทธรักษาเป็นสัญลักษณ์ วันพ่อแห่งชาติ

ทุกบุปผา มาลัยคือใจราษฎร์ ภักดีบาทองค์บพิตรเป็นนิจสิน
พระ คือ บิดาข้าแผ่นดิน ร่วมร้อยรินมาลัยถวายพระพร
ลุ 5 ธันวามหาราช “วันพ่อแห่งชาติ” คือองค์อดิศร
พระเปี่ยมล้นด้วยเมตตาเอื้ออาทร พสกนิกรเป็นสุขทุกคืนวัน 
 
    
ด้วยพ่อเป็นบุคคลผู้มีพระคุณ มีบทบาทสำคัญต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพ เทิดทูน และตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสังคมควรที่จะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อนี่เป็นที่มาของการจัดให้มี วันพ่อแห่งชาติ

5 ธันวาวันพ่อแห่งชาติ  

      5 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและยังเป็นวันพ่อแห่งชาติ เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะพ่อแห่งชาติ อีกทั้งทรงเป็นพ่อตัวอย่างของปวงชนชาวไทย ที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา ทรงบำเพ็ญคุณานุประโยชน์แก่ประเทศชาติ และประชาชน ทรงพระมหากรุณาทะนุบำรุงขจัดทุกข์ผดุงสุขพสกนิกรถ้วนหน้า พระองค์ทรงเป็น พ่อแห่งชาติที่อาณาประชาราษฎร์เทิดทูนด้วยความจงรักภักดี สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และยึดมั่นในการเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทในการทะนุบำรุงชาติบ้านเมืองให้ วัฒนาถาวรสืบไป ซึ่งมีวัตถุประสงค์ของวันพ่อแห่งชาติ 4 ประการ คือ
 
1.       เพื่อเทิดทูนพระเกียรติคุณของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
2.       เพื่อเทิดทูนพระคุณของพ่อ และยกย่องบทบาทของพ่อที่มีต่อครอบครัวและสังคม
3.       เพื่อให้ลูกได้แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อ
4.       เพื่อให้ผู้เป็นพ่อ สำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบของตน  
ดอกไม้ประจำวันพ่อแห่งชาติ
 
     วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีเป็นวันพ่อแห่งชาติ กำหนดขึ้นครั้งแรก ในปี 2523 และ กำหนดให้ ดอกพุทธรักษาสีเหลือง เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ประจำวันพ่อแห่งชาติ
 
 “พุทธรักษา” ซึ่งหมายถึง พระพุทธเจ้าทรงปกป้องคุ้มครอง ให้มีแต่ความสงบสุขร่มเย็น ซึ่งมีเรียกกันมากว่า 200 ปี และสีเหลืองอันเป็นสีประจำวัน พระราชสมภพขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ของปวงชนชาวไทย การมอบดอกพุทธรักษาให้กับพ่อ จึงเสมือนกับการบอกถึง ความรักและเคารพบูชาพ่อ ผู้สร้างความสงบสุขร่มเย็นให้แก่ครอบครัว
 
     คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นพุทธรักษาไว้ประจำบ้านจะช่วยปกป้องคุ้มครอง ไม่ให้มีเหตุร้ายหรืออันตรายเกิดแก่บ้านและผู้อาศัย เ
 
บทบาทของพ่อ
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสรุปบทบาทหน้าที่ของพ่อและแม่ไว้ 5 ข้อ

1.       กันลูกออกจากความชั่ว
2.       ปลูกฝังลูกไว้ในทางที่ดี
3.       ให้ลูกได้รับการศึกษาเล่าเรียน
4.       ให้ลูกได้แต่งงานกับคนดี
5.       มอบทรัพย์มรดกให้เมื่อถึงการณ์อันควร
วันพ่อแห่งชาตินั้นทั่วโลกจะมีการจัดแตกต่างกันไป โดยในประเทศไทยจัดตรงกับวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี

     ในส่วนของพ่อเองก็ต้องตั้งใจฝึกตนเองให้ดี ให้เป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกให้ได้  หาเวลามาทำกิจกรรมร่วมกัน จะได้มีเวลาแนะนำอบรมสั่งสอนกันเพื่อครอบครัวจะได้ เป็นครอบครัวอบอุ่น โดยในวันพ่อที่จะถึงนี้ ก็ขออวยพรให้คุณพ่อทุกท่านมีความสุข ดูแลลูกๆ และอยู่กับลูกๆ ไปตราบนานเท่านาน

วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ความร่วมมืออาเซียนว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้าย

  สวัสดีครับ การก่อการร้าย(Terrorism)ถือเป็นภัยคุกคามที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของโลกยุคปัญจุบันนี้ เนื่องจาการก่อการร้ายนั้นมุ่งสร้างความเสียหายและสร้างความหวาดกลัว(Terror)แก่ประชาชน โดยใช้ความรุนแรงเป็นสำคัญ การก่อการร้ายดังกล่าวอาจเชื่อมโย่งไปถึงการก่อการร้ายระดับโลกได้ เช่น กลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์ เป็นต้น ประเทศในกลุ่มสมาชิกอาเซียนเองก็เสี่ยงกับการก่อการร้ายเช่นกัน ด้วยประการนี้ เพื่อต่อต้านการก่อการร้ายอาเซียนได้ออก อนุสัญญาอาเซียนว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้าย(ASEAN Convention on Counter Terrorism หรือACCT) ซึ่งประเทศสมาชิก 5 ประเทศได้แก่ ไทย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ กัมพูชา และเวียดนาม ได้ร่วมลงนามสัตยาบัญในการประชุมสุดยอดอาเเซียน ครั้งที่ 12 เมื่อวันที่ 9-12 มกราคม 2550 ที่เมืองเซบู ประเทศฟิลิปปินส์ และมีผลบังคับใช้เมื่อ  28 พฤษภาคม 2554 หลังจากบรูไนลงนามรับรองสัตยาบันเป็นประเทศที่ 6 ต่อมาเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2556 ชาติสมาชิกจึงลงนามครบทั้ง 10 ประเทศ 
        อนุสัญญาอาเซียนว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้าย ประกอบด้วย 23 มาตรา โดยได้อ้างถึงพีธีสารและอนุสัญญาระหว่างประเทศต่างๆ จำนวน 13 ฉบับ นับตั้งแต่ปี 2513-2548 เพื่อระบุการกระทำผิดที่ถือว่าอยู่ในขอบเขตของการก่อการร้ายและกำหนดกรอบของความร่วมมือ ดังนี้
  1.ประเทศภาคีสมาชิกต้องนำเดินการตามขั้นตอนที่จำเป็น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการก่อการร้าย แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน รวมถึงจัดให้มีการเตือนภัยล่วงหน้าด้วย
2.ป้องกันไม่ให้ผู้ให้การสนับสนุนทางการเงิน วางแผน อำนวยความสะดวก หรือกระทำการก่อการร้ายใช้ดินแดนของประเทศสมาชิกเป็นฐานในการก่อการร้าย โดยมุ่งเป้าต่อภาคีสมาชิกหรือพลเมืองของภาคีสมาชิกอื่นๆ
3.ป้องกันและขัดขวางกระบวนการทางสนับสนุนทางการเงินต่อผู้ก่อการร้าย
4.ป้องกันไม่ให้ผู้ก่อการร้ายหรือกลุ่มก่อการร้ายเคลื่อนไหวผ่านแดน โดยการควบคุมระบบผ่านแดนและระบบการตรวจเอกสารปลอมต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
5.พัฒนาขีดความสามารถและความพร้อมในการประสารงานกันผ่านการฝึก อบรม ประชุมสัมมนา ความร่วมมือในด้านต่างๆ
6.ประชาสัมพันธ์การรับรู้ของสาธารณชน ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่อต้านการก่อการร้าย ส่งเสริมสัมพันธภาพระหว่างกลุ่มในสังคมพหุวัฒนธรรม
7.เสริมความร่วมมือข้ามพรมแดน
8.พัฒนากระบวนการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน
9.พัฒนาการฐานข้อมูลระดับภูมิภาคภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในอาเซียน
10.พัฒนาความสามารถและความพร้อมในการรับมือกับการก่อการร้ายที่ใช้อาวุธเคมี อาวุธชีวภาพ กัมมันตภาพรังสี นิวเคลียร์ การก่อการร้ายทางอินเตอร์เน็ต การก่อการร้ายในรูปแบบใหม่ๆ
11.พัฒนางานวิจัยและงานวิชาการต่างๆเพื่อสร้างมาตรการในการต่อต้านการก่อการร้าย
12.สนับบสนุนให้มีการใช้ระบบสื่อสารผ่านการประชุมวีดีทัศน์ หรือเทคโนโลยีอื่นที่เหมาะสมในการสื่อสารระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนด้วยกัน
13.สร้างความมั่นใจว่าจะมีการจับกุมผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการก่อการร้ายมาเข้าสู่กระบวนยุติธรรม
สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมจากกระทรวงการต่างประเทศ:www.mfa.go.th

เครื่อเป่าลมตัวร้าย ตัวการแผ่เชื้อโรค

          วันนี้เอาเรื่องเบาๆมาเล่ากันครับ หยิบเอาข่าวจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ หน้าวิทยาศาสตร์ มาเล่ากัน เรื่องที่จะเล่าวันนี้เกี่ยวกับเครื่องเป่าลมแห้ง ที่บ้านเราเห็นตามห้องน้ำสาธารณะนั้นละครับ โดยนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย ลีดส์ของอังกฤษได้ทำการศึกษาพบว่า เครื่องเป่าลมให้มือแห้งนี้ละเป็นตัวการแผ่เชื้อได้ดียิ่งเสียกว่าการใช้กระดาษเช็ดมือซะอีกครับ เพราะมันกลับช่วยกระจ่ายเชื้อโรคออกไปมากกว่าเดิมเสียอีก
      พวกเขาพบว่าจากการวัดด้วยเครื่องมือ เครื่องเป่าลมให้มือแห้งนี้แผ่กระจ่ายเชื้อโรคภายในห้องน้ำหนักขึ้น และแผ่เชื้อในอากาศ ยิ่งกว่าการเช็ดด้วยกระดาษถึง 27 เท่าเลยครับ ทั้งแบบลมอากาศหรือลมอุ่น ทั้งต่อผู้ใช้หรือผู้อื่นใกล้เคียงอีกด้วย
     จาการใช้เครื่องวัดพบว่า เครื่องวัดแบคทีเรียในอากาศ ที่มาจากเครื่องเป่าลมได้สูงกว่าที่มาจากเครื่องเป่าลมร้อน 27 เท่าและสูงกว่าการเช็ดด้วยกระดาษ 27เท่าด้วยกัน ศาสตราจารย์ มาร์ค วิลคอกซ์ แห่งคณะแพทย์ ผู้เป็นหัวหน้าวิจัย กล่าวว่า "คราวหน้าถ้าไปใช้ห้องน้ำสาธารณะแล้วใช้เครื่องเป่าลมให้มือแห้งแล้วละก็ จงรู้ไว้เถิดว่า เราได้แผ่เชื้อโรคให้ผู้อื่นแบบไม่รู้ตัวด้วย และในทำนองเดียวกันเอาก็อาจจะได้รับเชื้อจากมือคนอื่นที่แผ่ออกมาด้วย"
      ได้อ่านแล้วก่อนใช้ก็พิจรณาให้ดีก่อนนะครับ เพื่อการที่เราจะได้มีสุขภาพพลานมัยที่ดีไม่เจ็บ ไม่ไข้ ร่างกายแข็งแรงต่อไปนานๆครับ

วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เด็กนอกระบบ

            เด็กที่จะกล่าวถึงในวันนี้ คือเด็กอ่อนหรือเด็กแรกเกิดนั้นเองครับ ข้อมูลจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ "ทีดีอาร์ไอ" ระบะว่าบ้านเรามีระบบสวัสดิการตั้งแต่เกิดยันตาย แต่ว่ายังมีเด็กกลุ่มหนึ่งที่มีจำนวนไม่ต่ำกว่า 4 ล้านคน กลายเป็นเด็กนอกระบบไม่มีใครเหลียวแล ได้แก่ เด็กแรกเกิดตั้งแต่อายุ 0-6ปี ที่เป็นลูกของลูกจ้างแรงงานนอกระบบ หากคำนวนเป็นตัวเลข เด็กแรกเกิดจน 6ปี ไทยมีประมาณ 5 ล้านคน แต่มี้พียง 1 ล้านคนเท่านั้นที่ได้รับเงินสังเคราะห์บุตร 400 บาทต่อเดือน หมายความว่ามีเด็กอีกร้อยละ 76 ถูกทอดทิ้ง เพราะผู้ปกครองไม่อยู่ในระบบประกันสังคมนั้นเอง
             ทาง"ทีดีอาร์ไอ"เสนอทางแก้ปัญหาเบื้องต้น 2 ข้อ คือ1.เพิ่มเงินอุดหนุนจาก 400 บาทเป็น 600 บาท 2. จัดการทำหลักฐานเด็กแรกเกินตั้งแต่ 0-6 ปี ทุกคนเพื่อจะได้เข้าถึงเงินอุดหนุนนี้ ส่วนใครที่อยู่ในระบบควรได้รับเพิ่มอีก 200 บาทรวมเป็น 800 บาทโดยจะมีเด็กแรกเกิดได้รับเงินอุดหนุนในปี 2558 ประมาณ 5.2 ล้านคน ใช้งบประมาณ3.7 หมื่นล้านบาท หรือเพียงแค่ครึ่งเดี่ยวของเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
        สิทธิ 4ด้านที่เด็กไทยต้องการ
1.สิทธิด้านการอยู่รอด                    2.สิทธิด้านการพัฒนา                
-ขาดเงินอุดหนุนเลี้ยงดูบุตร           -ไร้สัญชาติไม่เท่าเทียม                
-เซ็กส์เร็วท้องไม่พร้อม                   ด้านการศึกษา                              
-อันตรายจากสารเสพติด              -สังคมไม่ยอมรับเด็ก"พิเศษ"        
-เอาตัวรอดจากภัยธรรมชาติ       -ชุมชนไม่มีพื้นที่ทำกิจกรรมของเด็ก  
                                                                                                                                                               3.สิทธิด้านปกป้องคุ้มครอง
-ขาดเงินอุดหนุนเลี้ยงดูบุตร        
-เซ็กส์เร็วท้องไม่พร้อม
-อันตรายจากสารเสพติด          
-เอาตัวรอดจากภัยธรรมชาติ    
4. สิทธิด้านการมีส่วนร่วม
-ครอบครัวปิดกั้นความคิดเห็น
-เข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสาร
-ไม่มีโอการร่วมกิจกรรม
-ภาครัฐไม่ฟังเด็ก
          โลกนี้ช่างรุนแรง
-ปี2555 มีเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี ถูกฆาตรกรรม
- 6ใน10 ของเด็กอายุ 2-24 ปี ถูกลงโทษทางกายจากผู้ปกครอง
-1ใน3 ของเด็กอายุ 13-15 ถูกรังแกเป็นประจำ
- 50% ของเด็กอายุ 15-19 ปีทัวโลก(126ล้านคน) คิดว่าสามีทำร้ายภรรยาเป็นเรื่องปกติ
  ครับที่หยิบเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟัง เพราะปีนี้เป็นปีที่ครบรอบอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ครบ 25 ปี ในปีนี้ครับ หวังว่าผู้ใหญ่ใจดีจะทำให้สิ่งที่พวกเขาหวังเป็นจริงขึ้นมาครับ

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เมื่อ " กระตั้วแทงเสือ"เจอกับ" Hunger Games

          สวัสดีครับวันนี้เราจะมาเล่าเรื่องที่มีเหตุการณ์นักศึกษากลุ่มหนึ่งไปยืนชู 3นิ้วต่อหน้าท่านนายกรัฐมนตรี ในวันที่ท่านลงพื่นที่ภาคอีสาน ด้วยความสงสัยนิดๆเกิดขึ้นกับผมสองอย่างจากภาพข่าวที่ได้รับ คือการชู 3 นิ้ว กับ กระตั้วแทงเสือ ที่ท่านนายกฯได้กล่าวไว้ ช่วงหนึ่งที่ทางทหารเข้ามายึดอำนาจนั้นก็มีการแสดงออกทำนองนี้มาแล้วในกรุงเทพฯ ซึ้งครั้งนี้ก็เกิดแต่ไม่มีเหตุการณ์บานปลาย การชู 3นิ้ว นั้นได้ยินว่าเอามาจากภาพยนต์ของฝรั่งเรื่อง Hunger Game เป็นภาพยนต์ ไซไฟเสียดสีสังคม เขียนโดย ซูซาน คอลลินส์ เนื้อเรื่องกล่าวถึงการต่อสู่กับผู้กุมอำนาจที่เป็นเผด็จการ ซึ่งนักศึกษาหยิบมาแสดงเชิงสัญลักษณ์ กับกระตั้วแทงเสือที่ท่านายกฯ ได้กล่าวเพราะนึกว่ากลุ่มนักศึกษานั้นจะมาแสดงต้อนรับ กระตั้วแทงเสือนั้นผมไปค้นมาพบว่า เป็นการละเล่นพื้นบ้านของไทยเรา สืบเนื่องมานานตั้งแต่สมัยอยุธยามาแล้ว เนื้อเรื่อง กล่าวถึงเมืองหนึงที่มี เสือออกอาระวาด ทำลายชาวบ้านจนเรื่องถึงเจ้าเมือง เจ้าเมืองจึงประกาศหากใครสามารถจัดการเสือได้ก็จะมีรางวัล มีนายพราน ชื่อ บ้องตันและครอบครัวรับอาสาออกไปจัดการกับเสือ และสุดท้ายนายพรานกับครอบครัวก็สามารถปราบเสือได้ 
          เมื่อมาคิดดูแล้วการที่ท่านนายกฯได้กล่าว อาจหมายถึงปัญหาของบ้านเมืองที่เหมือนเสือร้ายและ คณะ คสช. และรัฐบาลก็คือนายพรานที่อาสาเข้ามาปราบนั้นเอง ส่วนการชูมือ 3 นิ้วนั้น นักศึกษาสื่อให้เห็นถึงการได้มาซึ่งอำนาจที่ไม่ถูกต้องและใช้อำนาจโดยมิชอบ  ถ้าเรามองตามความเป็นจริงและผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญแล้ว การได้มาซึ่งอำนาจนั้นอาจไม่ถูกต้องตามหลักประชาธิปไตยก็จริงแต่ต้องดูว่าก่อนหน้านี้บ้านเมืองเราต้องเจอกับปัญหาความขัดแย้งยาวนานหลายปี จนเกือบกลายเป็นหายนะของชาติก็ว่าได้ คณะ คสช. จึงอาสาเข้ามาแก้ไขปัญหาที่สะสมมานาน และก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเมื่อครบกำหนดแล้วนั้นจะแก้ได้หรือไม่ เพราะลำพังแต่รัฐบาลหรือ คสช. เพียงฝ่ายเดี่ยวนั้นไม่อาจจะทำสำเร็จถ้าขาดการให้ความร่วมมือจากประชาชนทุกคนในประเทศ ส่วนการใช้อำนาจแบบเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและมิชอบเหมือนในภาพยนต์นั้น ตอนนี้คงยังไม่ใช่ เพราะ ฉนั้นคงไม่มีเหตุอะไรที่จะไปขัดขวางการทำงาน แต่ถ้าวันข้างหน้ารัฐบาลหรือ คสช. นั้นใช้อำนาจโดยมิชอบแล้ว เชื่อเหลือเกินว่าคงไม่มีแค่นักศึกษาหรอกครับที่จะมายืนชูสามนิ้ว ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะด่วนสรุปครับ


สื่อ กับ คสช.

            ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา มีข่าวเกี่ยวกับการเสนอข่าวของสื่อมวลชน ถึงความเหมาะสมในการนำเสนอจากฝากฝั่ง คสช.และรัฐบาล จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารย์ สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต จึงได้ทำแบบสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ 1,257 คน ระหว่างวันที่ 17-21 พ.ย. 2557 เรื่อง "สื่อ" กับ "คสช.และรัฐบาล"ณ วันนี้ โดยสำรวจจากเกตุการณ์ที่มีนายทหารขอความร่วมมือในการเผยแผ่รายการโทรทัศน์ช่องหนึ่งนั้น พบว่าประชาชนส่วนใหญ่รัอยละ 81.15 เห็นว่าสื่อควรทำหน้าทีสื่อที่ดี นำเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมา เป็นประโยชน์ ร้อยละ 80.67 มองว่า คสช. สามารถดำเนินการได้ภายใต้กฎอัยการศึกเพื่อไม่เห็นเกิดการแตกแยก ร้อยละ58.71 ประชาชนควรได้รับข้อมูลข่าวสารข้อเท็จจริง ส่วนสื่อในยุคที่อยู่ภายใต้กฎอัยการศึกควรปฎิบัติหน้าที่อย่างไร ร้อยละ75.42 ระบุนำเสนอข่าวอย่างสร้างสรรค์ หลีกเลี่ยงการนำเสนอข่าวที่อาจทำให้เกิดความขัดแย้ง ร้อยละ59.43 ให้ความร่วมมือและปฎิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับอย่างเคร่งครัดและร้อยละ  54.65 ทำหน้าที่ตามปกติโดยคำนึงถึงบ้านเมืองและส่วนร่วมเป็นสำคัญ เมื่อถามว่า คสช. ควรปฎิบัติต่อสื่ออย่างไร ร้อยละ 66.35 ระบุว่า หากจำเป็นที่ต้องเข้าแทรกแซงการทำงานสื่อก็ควรคำนึงถึงผลดผลเสียที่จะตามมา ร้อยละ 62.53 ควรมีการประชุมพูดคุยสร้างความเข้าใจที่ตรงกันและร้อยละ 62.05 ไม่ใช้ความรุนแรงให้ความเป็นธรรม  ด้านรัฐบาล ร้อยละ 80.19 ระบุควรให้ข้อมูลกับสือที่ชัดเจนเพื่อจะได้นำเสนออย่างถูกต้อง ร้อยละ 69.93 ให้อิสระกับสื่อในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารอย่างเต็มที่และร้อยละ 60.86 มีบทลงโทษที่รุนแรงสำหรับสื่อที่สร้างความแตกแยกในสังคม
       สื่อมีความสำคัญในการนำเสนอข่าวสารแก่ประชาชน เพราะเหตุนี้สื่อควรต้องเสนอข่าว อย่างตรงไปตรงมา ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้มีสื่อที่เลือกข้าง และเสนอข่าวที่ไม่เป็นกลางหรือต้องการปั่นกระแสสังคม 
การปฎิรูปสื่อ ที่สภาปฎิรูปกำลังวางแบบแผนนี้จึงเป็นสิ่งที่เราต้องเฝ้าดูว่าจะออกมาอย่างไร

วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ว่าด้วยเรื่อง "ความไร้สัญชาติ(Statelessness)"

เมื่อต้นเดื่อนที่ผ่านมา สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือ  (UNSCR) ได้เริ่มรณรงค์โครงการ กำจัดภาวะคนไร้รัฐ หรือ คนไร้สัญชาติ (Statelessness) ซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 10ล้านคน ให้หมดไปภายใน 10 ปีข้างหน้า เป้าหมายก็เพื่อไม่ให้ผู้คนเหล่านี้ มีชีวิตอยู่ โดยไม่มีหลักฐานเอกสารระบุตัวตนถูกต้องตามกฎหมายตลอดทั้งชีวิต โดยปีนี้ครบรอบ 60 ปี อนุสัญญาสหประชาติ ค.ศ. 1954 ว่าด้วยเรื่องคนไร้รัฐ ซึ่งข้อตกลงนี้รวมถึง อนุสัญญาว่าด้วยการลดความไร้สัญชาติ ค.ศ.1961 ถือเป็นกฎหมายพื้นฐานเพื่อยุติ ความไร้รัฐของเพื่อนมนุษย์
             จากข้อมูลของ UNSCR ถึงวันที่ 4พ.ย. ที่ผ่านมา มี 83 ประเทศทั่วโลกที่เป็นภาคีให้สัตยาบันอนุสัญญายูเอ็นว่าด้วยตนไร้รัฐ ค.ศ.1954 และ 61 ประเทศ เป็นภาคีของฉบับ ปี ค.ศ.1961 กลุ่มคนไร้รัฐนั้นไม่ได้รับการยอมรับในประเทศที่ตนอยู่อาศัย ไม่มีใบเกิดหรืสูติบัตรในการระบุตัวตน เช่น บัตรประชาชน หรือเอกสารอื่นใด กรณีมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากเด็กที่แม่ตั้งครรภ์และคลอดในค่ายผู้ลี้ภัยต่างๆ จากการสู้รบในซีเรีย แล้วหนี้มาหลบในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉลี่ยทุกๆ 10 นาทีจะมีเด็กที่เกิดเป็นเด็กไร้รัฐ เมื่อไม่มีสัญชาติเด็กๆเหล่านี้ก็จะถูกปฎิเสธสิทธิในการเข้าถึงบริการต่างๆของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา การรักษาพยาบาลหรือการมีงานทำ นอกจากนี้ยังมีอีก 27 ประเทศที่ผู้หญิงที่มีบุตรไม่สามารถส่งสิทธิในการถือสัญชาติไปยังบุตรได้เหมื่อนผู้ชาย พวกเขาเหล่านี้อยู่อย่างสิ้นหวัง และได้รับการดูถูกจากคนในประเทศเหล่านั้น
            โดย 5 จุดที่เป็นปัญหาใหญ่ได้แก่
1.เมียนมาร์ ซึ่งเหล่าโรฮิงญากว่า 1.3 ล้านคน ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในรัฐยะไข่ทางตะวันตกของประเทศ ไม่มีสถานะทางกฎหมาย
2.สาธารณรัฐโดมินิกัน ซึ่งศาลฎีกามีคำสั่งเพิกถอนสัญชาติ ชาวเฮติทุกคนที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศ
3.ไอวอรีโคสต์ มีผู้อพยพประมาณ 700,000คนที่ทางการไม่ยอมรับเป็นพลเมืองของประเทศ
4.กลุ่มคนที่พูดภาษารัสเซียจำนวนมาก ไม่ได้รับการยอมรับจากการเป็นพลเรือนลัตเวีย
5.ประเทศไทย ที่มีผู้อยู่อาศัยประมาณ500,00คนที่ไม่มีสัญชาติ แต่ยูเอ็นเอชซีอาร์ไม่ได้บอกว่าพวกเขานั้นเป็นคนไทยหรือคนต่างชาติ
         ด้วยความพยายามที่ผ่านมาทำให้สามารถ ทำให้อดีตคนไร้รัฐกลายเป็นคนมีสัญชาติประมาณ 4 ล้านคน รวมถึงเผ่าเร่ร่อน"โรมา"ที่อาศัยอยู่ทั่วยุโรปทั่งหมด ในตอนนี้ทางยูเอ็นเอชซีอาร์มุ่งไปที่ชาวโรฮิงญาในเมียนมาร์ และต้องใช้เวลาซักระยะและหวังว่าจะได้ผลออกมาเป็นที่พอใจ
           จนถึงขณะนี้มีเพียง 27 ประเทศรวมลงนามในอนุสัญญาระหว่างประเทศ แม้อาจดูน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนสมาชิกทั้งหมด 193 ประเทศและ 2 รัฐสังเกตการณ์ แต่ก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง