ค้นหาบล็อกนี้

วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

"วันพ่อ"

 ใกล้เข้ามาทุกขณะ สำหรับวันสำคัญอีกวันหนึ่งของคนไทย นั้นคือวันพ่อแห่งชาติ วันพ่อแห่งชาตินั้นตรงกับวันที่่ 5 ธันวาคมของทุกปี วันพ่อแห่งชาตินั้น ได้มีการจัดขึ้นครั้งแรก เมื่อวันที่ 5ธันวาคม 2523 โดย คุณหญิงเนื้อทิตย์ เสมรสุต นายกผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษา

วันพ่อแห่งชาติ 2557 ประวัติความเป็นมาความสำคัญของวันพ่อ

 
    พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (ราชบัณฑิตยสถาน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หน้า 587) พ.ศ. 2525 ได้ให้ความหมายคำว่า “พ่อ” ไว้ดังนี้
 
     พ่อ หมายถึง ชายผู้ให้กำเนิดแก่ลูก, คำที่ลูกเรียกชายผู้ให้กำเนิดตน
     ในทางพุทธศาสนา ได้ให้ความหมายของคำว่า “พ่อ” หมายถึง ชายผู้ให้กำเนิดแก่ลูกมีใช้หลายคำ เช่น
         
     - บิดา (พ่อ)
     - ชนก (ผู้ให้กำเนิด)
     - สามี (ผัวของแม่) เป็นต้น
 
     วันพ่อแห่งชาติ  5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทางราชการได้กำหนดให้เป็นวันหยุดราชการหนึ่งวัน เพื่อให้ประชาชนชาวไทย ได้ร่วมกันเฉลิมฉลองในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและถือเป็นวันพ่อแห่งชาติ อีกวันหนึ่งด้วย
 
      วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือวันพ่อแห่งชาติ มีความเป็นมาของวันสำคัญ คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ โรงพยาบาล เมาท์ ออเบิร์น นครบอสตัน สหรัฐอเมริกา โดยนายแพทย์วิทท์มอร์เป็นผู้ถวายการประสูติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 9 แห่งบรมจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์ ทรงประกอบพระราชกรณียกิจและเจริญพระราชจริยาวัตรเป็นเอนกประการจำเนียรกาลผ่านมาถึงปัจจุบันที่สุดจะพรรณนาให้ครบถ้วนได้ท่ามกลางมหาสมาคมวันพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกทรงมีกระแสพระราชดำรัสที่ พสกนิกรทุกคนยังจดจำได้ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม” อันคำว่าโดย “ธรรม” นั้น ทรงหมายถึง ธรรมอันล้ำเลิศที่เรียกว่า “ทศพิธราชธรรม” หรือที่เรียกกันโดยสามัญว่า “ราชธรรม 10 ประการ”
  ราชธรรม 10 ประการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยึดมั่นทรงปฎิบัติโดยเคร่งครัด และส่งผลถึงพสกนิกรทั่วพระราชอาณาจักรนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเหนือเกล้าฯ ห่วงใยตั้งแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งพระเจ้าหลานเธอทุกพระองค์ต่างซาบซึ้งและปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณอย่างมิรู้ลืม พระองค์ทรงเป็น “พ่อ” ตัวอย่างของปวงชนชาวไทยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา ทรงห่วงใยอย่างหาที่เปรียบมิได้
 
     “...บ้านเมืองของเราเป็นปึกแผ่นร่มเย็นปกติสุขมาช้านาน เพราะเรามีความยึดมั่นในชาติและต่างร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกันทำหน้าที่โดยนึกถึงประโยชน์ส่วนรวมของชาติเป็นเป้าหมายสำคัญสูงสุด ท่านทั้งหลายในสมาคมนี้ ตลอดจนคนไทยทุกหมู่เหล่า จึงควรทำความเข้าใจในหน้าที่ของตนไว้ให้กระจ่างและนำไปปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ด้วยความไม่ประมาท และด้วยความมีสติ…”
 
      (พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม ณ พระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย พระบรมมหาราชวัง) 
  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นพุทธศาสนิกชนที่มีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นที่ยิ่ง เมื่อพุทธศักราช 2499 มีพระราชประสงค์ที่จะทรงพระผนวชในพระบวรพุทธศาสนาตามโบราณราชประเพณี นายกรัฐมนตรีได้กราบบังคมทูลพระกรุณาขอรับพระราชภาระสนองพระเดชพระคุณในการทรงพระผนวชในนามของรัฐบาลและประชาชนชาวไทยและได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้แต่งตั้งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร

     ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้ทรงพระผนวชในพระบวรพุทธศาสนา 15 วัน ระหว่างวันที่ 22 ตุลาคม - 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499

กิจกรรมที่ควรปฎิบัติในวันพ่อแห่งชาตินี้

      1. ในวันพ่อแห่งชาติเราควรประดับธงชาติไทยที่อาคารบ้านเรือน

      2. จัดพิธีศาสนสงฆ์ ทำบุญใส่บาตร อุทิศเป็นพระราชกุศล น้อมเกล้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล

     3. จัดกิจกรรมเกี่ยวกับการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล
 

ความเป็นมาของวันพ่อแห่งชาติ  

      วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริเริ่มหลักการและเหตุผลในการจัดตั้งวันพ่อแห่งชาติ พ่อเป็นผู้มีพระคุณที่มีบทบาทสำคัญต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสมควรที่สังคมจะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็น “วันพ่อแห่งชาติ” ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างนานัปการ ทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงรักใคร่และให้ดอกพุทธรักษาเป็นสัญลักษณ์ วันพ่อแห่งชาติ

ทุกบุปผา มาลัยคือใจราษฎร์ ภักดีบาทองค์บพิตรเป็นนิจสิน
พระ คือ บิดาข้าแผ่นดิน ร่วมร้อยรินมาลัยถวายพระพร
ลุ 5 ธันวามหาราช “วันพ่อแห่งชาติ” คือองค์อดิศร
พระเปี่ยมล้นด้วยเมตตาเอื้ออาทร พสกนิกรเป็นสุขทุกคืนวัน 
 
    
ด้วยพ่อเป็นบุคคลผู้มีพระคุณ มีบทบาทสำคัญต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพ เทิดทูน และตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสังคมควรที่จะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อนี่เป็นที่มาของการจัดให้มี วันพ่อแห่งชาติ

5 ธันวาวันพ่อแห่งชาติ  

      5 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและยังเป็นวันพ่อแห่งชาติ เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะพ่อแห่งชาติ อีกทั้งทรงเป็นพ่อตัวอย่างของปวงชนชาวไทย ที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา ทรงบำเพ็ญคุณานุประโยชน์แก่ประเทศชาติ และประชาชน ทรงพระมหากรุณาทะนุบำรุงขจัดทุกข์ผดุงสุขพสกนิกรถ้วนหน้า พระองค์ทรงเป็น พ่อแห่งชาติที่อาณาประชาราษฎร์เทิดทูนด้วยความจงรักภักดี สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และยึดมั่นในการเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทในการทะนุบำรุงชาติบ้านเมืองให้ วัฒนาถาวรสืบไป ซึ่งมีวัตถุประสงค์ของวันพ่อแห่งชาติ 4 ประการ คือ
 
1.       เพื่อเทิดทูนพระเกียรติคุณของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
2.       เพื่อเทิดทูนพระคุณของพ่อ และยกย่องบทบาทของพ่อที่มีต่อครอบครัวและสังคม
3.       เพื่อให้ลูกได้แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อ
4.       เพื่อให้ผู้เป็นพ่อ สำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบของตน  
ดอกไม้ประจำวันพ่อแห่งชาติ
 
     วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีเป็นวันพ่อแห่งชาติ กำหนดขึ้นครั้งแรก ในปี 2523 และ กำหนดให้ ดอกพุทธรักษาสีเหลือง เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ประจำวันพ่อแห่งชาติ
 
 “พุทธรักษา” ซึ่งหมายถึง พระพุทธเจ้าทรงปกป้องคุ้มครอง ให้มีแต่ความสงบสุขร่มเย็น ซึ่งมีเรียกกันมากว่า 200 ปี และสีเหลืองอันเป็นสีประจำวัน พระราชสมภพขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ของปวงชนชาวไทย การมอบดอกพุทธรักษาให้กับพ่อ จึงเสมือนกับการบอกถึง ความรักและเคารพบูชาพ่อ ผู้สร้างความสงบสุขร่มเย็นให้แก่ครอบครัว
 
     คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นพุทธรักษาไว้ประจำบ้านจะช่วยปกป้องคุ้มครอง ไม่ให้มีเหตุร้ายหรืออันตรายเกิดแก่บ้านและผู้อาศัย เ
 
บทบาทของพ่อ
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสรุปบทบาทหน้าที่ของพ่อและแม่ไว้ 5 ข้อ

1.       กันลูกออกจากความชั่ว
2.       ปลูกฝังลูกไว้ในทางที่ดี
3.       ให้ลูกได้รับการศึกษาเล่าเรียน
4.       ให้ลูกได้แต่งงานกับคนดี
5.       มอบทรัพย์มรดกให้เมื่อถึงการณ์อันควร
วันพ่อแห่งชาตินั้นทั่วโลกจะมีการจัดแตกต่างกันไป โดยในประเทศไทยจัดตรงกับวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี

     ในส่วนของพ่อเองก็ต้องตั้งใจฝึกตนเองให้ดี ให้เป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกให้ได้  หาเวลามาทำกิจกรรมร่วมกัน จะได้มีเวลาแนะนำอบรมสั่งสอนกันเพื่อครอบครัวจะได้ เป็นครอบครัวอบอุ่น โดยในวันพ่อที่จะถึงนี้ ก็ขออวยพรให้คุณพ่อทุกท่านมีความสุข ดูแลลูกๆ และอยู่กับลูกๆ ไปตราบนานเท่านาน

วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ความร่วมมืออาเซียนว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้าย

  สวัสดีครับ การก่อการร้าย(Terrorism)ถือเป็นภัยคุกคามที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของโลกยุคปัญจุบันนี้ เนื่องจาการก่อการร้ายนั้นมุ่งสร้างความเสียหายและสร้างความหวาดกลัว(Terror)แก่ประชาชน โดยใช้ความรุนแรงเป็นสำคัญ การก่อการร้ายดังกล่าวอาจเชื่อมโย่งไปถึงการก่อการร้ายระดับโลกได้ เช่น กลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์ เป็นต้น ประเทศในกลุ่มสมาชิกอาเซียนเองก็เสี่ยงกับการก่อการร้ายเช่นกัน ด้วยประการนี้ เพื่อต่อต้านการก่อการร้ายอาเซียนได้ออก อนุสัญญาอาเซียนว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้าย(ASEAN Convention on Counter Terrorism หรือACCT) ซึ่งประเทศสมาชิก 5 ประเทศได้แก่ ไทย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ กัมพูชา และเวียดนาม ได้ร่วมลงนามสัตยาบัญในการประชุมสุดยอดอาเเซียน ครั้งที่ 12 เมื่อวันที่ 9-12 มกราคม 2550 ที่เมืองเซบู ประเทศฟิลิปปินส์ และมีผลบังคับใช้เมื่อ  28 พฤษภาคม 2554 หลังจากบรูไนลงนามรับรองสัตยาบันเป็นประเทศที่ 6 ต่อมาเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2556 ชาติสมาชิกจึงลงนามครบทั้ง 10 ประเทศ 
        อนุสัญญาอาเซียนว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้าย ประกอบด้วย 23 มาตรา โดยได้อ้างถึงพีธีสารและอนุสัญญาระหว่างประเทศต่างๆ จำนวน 13 ฉบับ นับตั้งแต่ปี 2513-2548 เพื่อระบุการกระทำผิดที่ถือว่าอยู่ในขอบเขตของการก่อการร้ายและกำหนดกรอบของความร่วมมือ ดังนี้
  1.ประเทศภาคีสมาชิกต้องนำเดินการตามขั้นตอนที่จำเป็น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการก่อการร้าย แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน รวมถึงจัดให้มีการเตือนภัยล่วงหน้าด้วย
2.ป้องกันไม่ให้ผู้ให้การสนับสนุนทางการเงิน วางแผน อำนวยความสะดวก หรือกระทำการก่อการร้ายใช้ดินแดนของประเทศสมาชิกเป็นฐานในการก่อการร้าย โดยมุ่งเป้าต่อภาคีสมาชิกหรือพลเมืองของภาคีสมาชิกอื่นๆ
3.ป้องกันและขัดขวางกระบวนการทางสนับสนุนทางการเงินต่อผู้ก่อการร้าย
4.ป้องกันไม่ให้ผู้ก่อการร้ายหรือกลุ่มก่อการร้ายเคลื่อนไหวผ่านแดน โดยการควบคุมระบบผ่านแดนและระบบการตรวจเอกสารปลอมต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
5.พัฒนาขีดความสามารถและความพร้อมในการประสารงานกันผ่านการฝึก อบรม ประชุมสัมมนา ความร่วมมือในด้านต่างๆ
6.ประชาสัมพันธ์การรับรู้ของสาธารณชน ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่อต้านการก่อการร้าย ส่งเสริมสัมพันธภาพระหว่างกลุ่มในสังคมพหุวัฒนธรรม
7.เสริมความร่วมมือข้ามพรมแดน
8.พัฒนากระบวนการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน
9.พัฒนาการฐานข้อมูลระดับภูมิภาคภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในอาเซียน
10.พัฒนาความสามารถและความพร้อมในการรับมือกับการก่อการร้ายที่ใช้อาวุธเคมี อาวุธชีวภาพ กัมมันตภาพรังสี นิวเคลียร์ การก่อการร้ายทางอินเตอร์เน็ต การก่อการร้ายในรูปแบบใหม่ๆ
11.พัฒนางานวิจัยและงานวิชาการต่างๆเพื่อสร้างมาตรการในการต่อต้านการก่อการร้าย
12.สนับบสนุนให้มีการใช้ระบบสื่อสารผ่านการประชุมวีดีทัศน์ หรือเทคโนโลยีอื่นที่เหมาะสมในการสื่อสารระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนด้วยกัน
13.สร้างความมั่นใจว่าจะมีการจับกุมผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการก่อการร้ายมาเข้าสู่กระบวนยุติธรรม
สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมจากกระทรวงการต่างประเทศ:www.mfa.go.th

เครื่อเป่าลมตัวร้าย ตัวการแผ่เชื้อโรค

          วันนี้เอาเรื่องเบาๆมาเล่ากันครับ หยิบเอาข่าวจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ หน้าวิทยาศาสตร์ มาเล่ากัน เรื่องที่จะเล่าวันนี้เกี่ยวกับเครื่องเป่าลมแห้ง ที่บ้านเราเห็นตามห้องน้ำสาธารณะนั้นละครับ โดยนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย ลีดส์ของอังกฤษได้ทำการศึกษาพบว่า เครื่องเป่าลมให้มือแห้งนี้ละเป็นตัวการแผ่เชื้อได้ดียิ่งเสียกว่าการใช้กระดาษเช็ดมือซะอีกครับ เพราะมันกลับช่วยกระจ่ายเชื้อโรคออกไปมากกว่าเดิมเสียอีก
      พวกเขาพบว่าจากการวัดด้วยเครื่องมือ เครื่องเป่าลมให้มือแห้งนี้แผ่กระจ่ายเชื้อโรคภายในห้องน้ำหนักขึ้น และแผ่เชื้อในอากาศ ยิ่งกว่าการเช็ดด้วยกระดาษถึง 27 เท่าเลยครับ ทั้งแบบลมอากาศหรือลมอุ่น ทั้งต่อผู้ใช้หรือผู้อื่นใกล้เคียงอีกด้วย
     จาการใช้เครื่องวัดพบว่า เครื่องวัดแบคทีเรียในอากาศ ที่มาจากเครื่องเป่าลมได้สูงกว่าที่มาจากเครื่องเป่าลมร้อน 27 เท่าและสูงกว่าการเช็ดด้วยกระดาษ 27เท่าด้วยกัน ศาสตราจารย์ มาร์ค วิลคอกซ์ แห่งคณะแพทย์ ผู้เป็นหัวหน้าวิจัย กล่าวว่า "คราวหน้าถ้าไปใช้ห้องน้ำสาธารณะแล้วใช้เครื่องเป่าลมให้มือแห้งแล้วละก็ จงรู้ไว้เถิดว่า เราได้แผ่เชื้อโรคให้ผู้อื่นแบบไม่รู้ตัวด้วย และในทำนองเดียวกันเอาก็อาจจะได้รับเชื้อจากมือคนอื่นที่แผ่ออกมาด้วย"
      ได้อ่านแล้วก่อนใช้ก็พิจรณาให้ดีก่อนนะครับ เพื่อการที่เราจะได้มีสุขภาพพลานมัยที่ดีไม่เจ็บ ไม่ไข้ ร่างกายแข็งแรงต่อไปนานๆครับ

วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เด็กนอกระบบ

            เด็กที่จะกล่าวถึงในวันนี้ คือเด็กอ่อนหรือเด็กแรกเกิดนั้นเองครับ ข้อมูลจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ "ทีดีอาร์ไอ" ระบะว่าบ้านเรามีระบบสวัสดิการตั้งแต่เกิดยันตาย แต่ว่ายังมีเด็กกลุ่มหนึ่งที่มีจำนวนไม่ต่ำกว่า 4 ล้านคน กลายเป็นเด็กนอกระบบไม่มีใครเหลียวแล ได้แก่ เด็กแรกเกิดตั้งแต่อายุ 0-6ปี ที่เป็นลูกของลูกจ้างแรงงานนอกระบบ หากคำนวนเป็นตัวเลข เด็กแรกเกิดจน 6ปี ไทยมีประมาณ 5 ล้านคน แต่มี้พียง 1 ล้านคนเท่านั้นที่ได้รับเงินสังเคราะห์บุตร 400 บาทต่อเดือน หมายความว่ามีเด็กอีกร้อยละ 76 ถูกทอดทิ้ง เพราะผู้ปกครองไม่อยู่ในระบบประกันสังคมนั้นเอง
             ทาง"ทีดีอาร์ไอ"เสนอทางแก้ปัญหาเบื้องต้น 2 ข้อ คือ1.เพิ่มเงินอุดหนุนจาก 400 บาทเป็น 600 บาท 2. จัดการทำหลักฐานเด็กแรกเกินตั้งแต่ 0-6 ปี ทุกคนเพื่อจะได้เข้าถึงเงินอุดหนุนนี้ ส่วนใครที่อยู่ในระบบควรได้รับเพิ่มอีก 200 บาทรวมเป็น 800 บาทโดยจะมีเด็กแรกเกิดได้รับเงินอุดหนุนในปี 2558 ประมาณ 5.2 ล้านคน ใช้งบประมาณ3.7 หมื่นล้านบาท หรือเพียงแค่ครึ่งเดี่ยวของเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
        สิทธิ 4ด้านที่เด็กไทยต้องการ
1.สิทธิด้านการอยู่รอด                    2.สิทธิด้านการพัฒนา                
-ขาดเงินอุดหนุนเลี้ยงดูบุตร           -ไร้สัญชาติไม่เท่าเทียม                
-เซ็กส์เร็วท้องไม่พร้อม                   ด้านการศึกษา                              
-อันตรายจากสารเสพติด              -สังคมไม่ยอมรับเด็ก"พิเศษ"        
-เอาตัวรอดจากภัยธรรมชาติ       -ชุมชนไม่มีพื้นที่ทำกิจกรรมของเด็ก  
                                                                                                                                                               3.สิทธิด้านปกป้องคุ้มครอง
-ขาดเงินอุดหนุนเลี้ยงดูบุตร        
-เซ็กส์เร็วท้องไม่พร้อม
-อันตรายจากสารเสพติด          
-เอาตัวรอดจากภัยธรรมชาติ    
4. สิทธิด้านการมีส่วนร่วม
-ครอบครัวปิดกั้นความคิดเห็น
-เข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสาร
-ไม่มีโอการร่วมกิจกรรม
-ภาครัฐไม่ฟังเด็ก
          โลกนี้ช่างรุนแรง
-ปี2555 มีเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี ถูกฆาตรกรรม
- 6ใน10 ของเด็กอายุ 2-24 ปี ถูกลงโทษทางกายจากผู้ปกครอง
-1ใน3 ของเด็กอายุ 13-15 ถูกรังแกเป็นประจำ
- 50% ของเด็กอายุ 15-19 ปีทัวโลก(126ล้านคน) คิดว่าสามีทำร้ายภรรยาเป็นเรื่องปกติ
  ครับที่หยิบเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟัง เพราะปีนี้เป็นปีที่ครบรอบอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ครบ 25 ปี ในปีนี้ครับ หวังว่าผู้ใหญ่ใจดีจะทำให้สิ่งที่พวกเขาหวังเป็นจริงขึ้นมาครับ

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เมื่อ " กระตั้วแทงเสือ"เจอกับ" Hunger Games

          สวัสดีครับวันนี้เราจะมาเล่าเรื่องที่มีเหตุการณ์นักศึกษากลุ่มหนึ่งไปยืนชู 3นิ้วต่อหน้าท่านนายกรัฐมนตรี ในวันที่ท่านลงพื่นที่ภาคอีสาน ด้วยความสงสัยนิดๆเกิดขึ้นกับผมสองอย่างจากภาพข่าวที่ได้รับ คือการชู 3 นิ้ว กับ กระตั้วแทงเสือ ที่ท่านนายกฯได้กล่าวไว้ ช่วงหนึ่งที่ทางทหารเข้ามายึดอำนาจนั้นก็มีการแสดงออกทำนองนี้มาแล้วในกรุงเทพฯ ซึ้งครั้งนี้ก็เกิดแต่ไม่มีเหตุการณ์บานปลาย การชู 3นิ้ว นั้นได้ยินว่าเอามาจากภาพยนต์ของฝรั่งเรื่อง Hunger Game เป็นภาพยนต์ ไซไฟเสียดสีสังคม เขียนโดย ซูซาน คอลลินส์ เนื้อเรื่องกล่าวถึงการต่อสู่กับผู้กุมอำนาจที่เป็นเผด็จการ ซึ่งนักศึกษาหยิบมาแสดงเชิงสัญลักษณ์ กับกระตั้วแทงเสือที่ท่านายกฯ ได้กล่าวเพราะนึกว่ากลุ่มนักศึกษานั้นจะมาแสดงต้อนรับ กระตั้วแทงเสือนั้นผมไปค้นมาพบว่า เป็นการละเล่นพื้นบ้านของไทยเรา สืบเนื่องมานานตั้งแต่สมัยอยุธยามาแล้ว เนื้อเรื่อง กล่าวถึงเมืองหนึงที่มี เสือออกอาระวาด ทำลายชาวบ้านจนเรื่องถึงเจ้าเมือง เจ้าเมืองจึงประกาศหากใครสามารถจัดการเสือได้ก็จะมีรางวัล มีนายพราน ชื่อ บ้องตันและครอบครัวรับอาสาออกไปจัดการกับเสือ และสุดท้ายนายพรานกับครอบครัวก็สามารถปราบเสือได้ 
          เมื่อมาคิดดูแล้วการที่ท่านนายกฯได้กล่าว อาจหมายถึงปัญหาของบ้านเมืองที่เหมือนเสือร้ายและ คณะ คสช. และรัฐบาลก็คือนายพรานที่อาสาเข้ามาปราบนั้นเอง ส่วนการชูมือ 3 นิ้วนั้น นักศึกษาสื่อให้เห็นถึงการได้มาซึ่งอำนาจที่ไม่ถูกต้องและใช้อำนาจโดยมิชอบ  ถ้าเรามองตามความเป็นจริงและผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญแล้ว การได้มาซึ่งอำนาจนั้นอาจไม่ถูกต้องตามหลักประชาธิปไตยก็จริงแต่ต้องดูว่าก่อนหน้านี้บ้านเมืองเราต้องเจอกับปัญหาความขัดแย้งยาวนานหลายปี จนเกือบกลายเป็นหายนะของชาติก็ว่าได้ คณะ คสช. จึงอาสาเข้ามาแก้ไขปัญหาที่สะสมมานาน และก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเมื่อครบกำหนดแล้วนั้นจะแก้ได้หรือไม่ เพราะลำพังแต่รัฐบาลหรือ คสช. เพียงฝ่ายเดี่ยวนั้นไม่อาจจะทำสำเร็จถ้าขาดการให้ความร่วมมือจากประชาชนทุกคนในประเทศ ส่วนการใช้อำนาจแบบเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและมิชอบเหมือนในภาพยนต์นั้น ตอนนี้คงยังไม่ใช่ เพราะ ฉนั้นคงไม่มีเหตุอะไรที่จะไปขัดขวางการทำงาน แต่ถ้าวันข้างหน้ารัฐบาลหรือ คสช. นั้นใช้อำนาจโดยมิชอบแล้ว เชื่อเหลือเกินว่าคงไม่มีแค่นักศึกษาหรอกครับที่จะมายืนชูสามนิ้ว ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะด่วนสรุปครับ


สื่อ กับ คสช.

            ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา มีข่าวเกี่ยวกับการเสนอข่าวของสื่อมวลชน ถึงความเหมาะสมในการนำเสนอจากฝากฝั่ง คสช.และรัฐบาล จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารย์ สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต จึงได้ทำแบบสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ 1,257 คน ระหว่างวันที่ 17-21 พ.ย. 2557 เรื่อง "สื่อ" กับ "คสช.และรัฐบาล"ณ วันนี้ โดยสำรวจจากเกตุการณ์ที่มีนายทหารขอความร่วมมือในการเผยแผ่รายการโทรทัศน์ช่องหนึ่งนั้น พบว่าประชาชนส่วนใหญ่รัอยละ 81.15 เห็นว่าสื่อควรทำหน้าทีสื่อที่ดี นำเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมา เป็นประโยชน์ ร้อยละ 80.67 มองว่า คสช. สามารถดำเนินการได้ภายใต้กฎอัยการศึกเพื่อไม่เห็นเกิดการแตกแยก ร้อยละ58.71 ประชาชนควรได้รับข้อมูลข่าวสารข้อเท็จจริง ส่วนสื่อในยุคที่อยู่ภายใต้กฎอัยการศึกควรปฎิบัติหน้าที่อย่างไร ร้อยละ75.42 ระบุนำเสนอข่าวอย่างสร้างสรรค์ หลีกเลี่ยงการนำเสนอข่าวที่อาจทำให้เกิดความขัดแย้ง ร้อยละ59.43 ให้ความร่วมมือและปฎิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับอย่างเคร่งครัดและร้อยละ  54.65 ทำหน้าที่ตามปกติโดยคำนึงถึงบ้านเมืองและส่วนร่วมเป็นสำคัญ เมื่อถามว่า คสช. ควรปฎิบัติต่อสื่ออย่างไร ร้อยละ 66.35 ระบุว่า หากจำเป็นที่ต้องเข้าแทรกแซงการทำงานสื่อก็ควรคำนึงถึงผลดผลเสียที่จะตามมา ร้อยละ 62.53 ควรมีการประชุมพูดคุยสร้างความเข้าใจที่ตรงกันและร้อยละ 62.05 ไม่ใช้ความรุนแรงให้ความเป็นธรรม  ด้านรัฐบาล ร้อยละ 80.19 ระบุควรให้ข้อมูลกับสือที่ชัดเจนเพื่อจะได้นำเสนออย่างถูกต้อง ร้อยละ 69.93 ให้อิสระกับสื่อในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารอย่างเต็มที่และร้อยละ 60.86 มีบทลงโทษที่รุนแรงสำหรับสื่อที่สร้างความแตกแยกในสังคม
       สื่อมีความสำคัญในการนำเสนอข่าวสารแก่ประชาชน เพราะเหตุนี้สื่อควรต้องเสนอข่าว อย่างตรงไปตรงมา ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้มีสื่อที่เลือกข้าง และเสนอข่าวที่ไม่เป็นกลางหรือต้องการปั่นกระแสสังคม 
การปฎิรูปสื่อ ที่สภาปฎิรูปกำลังวางแบบแผนนี้จึงเป็นสิ่งที่เราต้องเฝ้าดูว่าจะออกมาอย่างไร

วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ว่าด้วยเรื่อง "ความไร้สัญชาติ(Statelessness)"

เมื่อต้นเดื่อนที่ผ่านมา สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือ  (UNSCR) ได้เริ่มรณรงค์โครงการ กำจัดภาวะคนไร้รัฐ หรือ คนไร้สัญชาติ (Statelessness) ซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 10ล้านคน ให้หมดไปภายใน 10 ปีข้างหน้า เป้าหมายก็เพื่อไม่ให้ผู้คนเหล่านี้ มีชีวิตอยู่ โดยไม่มีหลักฐานเอกสารระบุตัวตนถูกต้องตามกฎหมายตลอดทั้งชีวิต โดยปีนี้ครบรอบ 60 ปี อนุสัญญาสหประชาติ ค.ศ. 1954 ว่าด้วยเรื่องคนไร้รัฐ ซึ่งข้อตกลงนี้รวมถึง อนุสัญญาว่าด้วยการลดความไร้สัญชาติ ค.ศ.1961 ถือเป็นกฎหมายพื้นฐานเพื่อยุติ ความไร้รัฐของเพื่อนมนุษย์
             จากข้อมูลของ UNSCR ถึงวันที่ 4พ.ย. ที่ผ่านมา มี 83 ประเทศทั่วโลกที่เป็นภาคีให้สัตยาบันอนุสัญญายูเอ็นว่าด้วยตนไร้รัฐ ค.ศ.1954 และ 61 ประเทศ เป็นภาคีของฉบับ ปี ค.ศ.1961 กลุ่มคนไร้รัฐนั้นไม่ได้รับการยอมรับในประเทศที่ตนอยู่อาศัย ไม่มีใบเกิดหรืสูติบัตรในการระบุตัวตน เช่น บัตรประชาชน หรือเอกสารอื่นใด กรณีมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากเด็กที่แม่ตั้งครรภ์และคลอดในค่ายผู้ลี้ภัยต่างๆ จากการสู้รบในซีเรีย แล้วหนี้มาหลบในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉลี่ยทุกๆ 10 นาทีจะมีเด็กที่เกิดเป็นเด็กไร้รัฐ เมื่อไม่มีสัญชาติเด็กๆเหล่านี้ก็จะถูกปฎิเสธสิทธิในการเข้าถึงบริการต่างๆของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา การรักษาพยาบาลหรือการมีงานทำ นอกจากนี้ยังมีอีก 27 ประเทศที่ผู้หญิงที่มีบุตรไม่สามารถส่งสิทธิในการถือสัญชาติไปยังบุตรได้เหมื่อนผู้ชาย พวกเขาเหล่านี้อยู่อย่างสิ้นหวัง และได้รับการดูถูกจากคนในประเทศเหล่านั้น
            โดย 5 จุดที่เป็นปัญหาใหญ่ได้แก่
1.เมียนมาร์ ซึ่งเหล่าโรฮิงญากว่า 1.3 ล้านคน ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในรัฐยะไข่ทางตะวันตกของประเทศ ไม่มีสถานะทางกฎหมาย
2.สาธารณรัฐโดมินิกัน ซึ่งศาลฎีกามีคำสั่งเพิกถอนสัญชาติ ชาวเฮติทุกคนที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศ
3.ไอวอรีโคสต์ มีผู้อพยพประมาณ 700,000คนที่ทางการไม่ยอมรับเป็นพลเมืองของประเทศ
4.กลุ่มคนที่พูดภาษารัสเซียจำนวนมาก ไม่ได้รับการยอมรับจากการเป็นพลเรือนลัตเวีย
5.ประเทศไทย ที่มีผู้อยู่อาศัยประมาณ500,00คนที่ไม่มีสัญชาติ แต่ยูเอ็นเอชซีอาร์ไม่ได้บอกว่าพวกเขานั้นเป็นคนไทยหรือคนต่างชาติ
         ด้วยความพยายามที่ผ่านมาทำให้สามารถ ทำให้อดีตคนไร้รัฐกลายเป็นคนมีสัญชาติประมาณ 4 ล้านคน รวมถึงเผ่าเร่ร่อน"โรมา"ที่อาศัยอยู่ทั่วยุโรปทั่งหมด ในตอนนี้ทางยูเอ็นเอชซีอาร์มุ่งไปที่ชาวโรฮิงญาในเมียนมาร์ และต้องใช้เวลาซักระยะและหวังว่าจะได้ผลออกมาเป็นที่พอใจ
           จนถึงขณะนี้มีเพียง 27 ประเทศรวมลงนามในอนุสัญญาระหว่างประเทศ แม้อาจดูน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนสมาชิกทั้งหมด 193 ประเทศและ 2 รัฐสังเกตการณ์ แต่ก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

อัลเดนาฟิล ยาตัวใหม่คล้ายไวอาก้า

สวัสดีครับวันนี้เราจะมาเล่ากันถึงเรื่องยา ที่ทางสำนักยาและวัตถุเสพติด กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เพิ่งตรวจพบกันครับ ยาตัวตัวนี่ชื่อ" อัลเดนาฟิล ซึ่งได้ตรวจพบกับยาแผนโบราณที่จำหน่ายภายในประเทศ ซึ่งสารตัวนี้มีองค์ประกอบคล้ายคลึงกับยา ซิลเดนาฟิลหรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ ไวอากร้า ที่เป็นยาแผนปัจจุบันที่เป็นกลุ่มออกฤทธิ์เสริมสมรรถภาพทางเพศ โดยสารในกลุ่มนี้ได้ขึ้นทะเบียนเป็นยาแผนปัจจุบันในบ้านเรานั้นมี 3 ชนิดคือ ซิลเดนาฟิล ทาดาลาฟิลและวาร์เดนาฟิล ซึ่งยาทั้งหมดเป็นบาควบคุมพิเศษ ต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น
    นายแพทย์ อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าว่าที่ผ่านมา ตรวจพบการใช้ไวอากร้า ปลอมปนในยาแผนโบราณเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ยังพบการใช้ยาทาดาลาฟิล วาเดนาฟิล หรือทั้งสองตัวผสมกันบ้าง ซึ่งแนวโน้มในการใช้สารในการปลอมปนนี้มีการเปลี่ยนแปลงโดยตลอด เพื่อให้ยากในการตรวจพบ โดยเปลี่ยนไปใช้สารที่มีโครงสร้างใกล้เคียงกัน คล้ายกับสารที่ออกฤทธิ์เสริมสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งสารดังกล่าวนี้ไม่มีข้อมูลความปลอดภัย จึงไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นยา "มีความเสี่ยงเป็นอย่างมากหากบริโภคยาแผนโบราณที่ปลอมปนด้วยสารเหล่านี้ เนื่องจากสารในกลุ่มนี้ไม่เพียงออกฤทธิ์ในการขยายหลอดเลือดแดงที่อวัยวะเพศชายเท่านั้นแต่ยังไปขยายหลอดเลือดในบริเวณอื่นๆด้วย ส่งผลให้เกิด อาการ หน้าแดง ปวดศีรษะ ตาลาย อาหารไม่ย่อย หายใจลำบาก อาจสูญเสียการได้ยินได้ หรือ เกิดความผิดปรกติกับประสาทตา หรืออาจทำให้ผู้บริโภคยามีความดันโลหิตต่ำอย่างรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ ประชาชนไม่ควรซื้อยาแผนโบราณที่อวดอ้างสรรพคุณเสริมสมรรถภาพทางเพศมารับประทานเพราะอาจมีการปลอมปนสารดังกล่าว" นายแพทย์ อภิชันกล่าว
      ทางด้าน อย.(คณะกรรมการอาหารและยา)กล่าวว่า ตัวยาอัลเดลาฟิลนี้คาดว่าน่าจะเป็นตัวนาสังเคราะห์ขึ้นมาใหม่ จัดอยู่ในกลุ่มเดี่ยวกับซิลเดลาฟิล อาจออกฤทธิ์แคกต่างกันบ้าง แต่โดยหลักๆ แล้วจะออกฤทธิ์คล้ายคลึงกัน อย่างไรก็ตาม ยาตัวนี้ไม่ได้ขึ้นทะเบียนว่ามีการผลิตหรือนำเข้ามาในประเทศ ดังนั้น ผู้ผลิตยาแผนโบราณตัวนี้จะถือเป็นยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับ มีการผลิตและขาย โดยไม่ได้รับอนุญาต มีโท
ษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 5,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
     เมื่อทราบอย่างนี้แล้วการที่เราจะใช้ยาใดๆที่มีความเสี่ยงควรจะปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะดีกว่านะครับ

ระวัง"เชื้อรา" ในเสื้อมือสอง

             บ้านเราตอนนี้กำลังเข้าหน้าหนาวกันแล้ว.....หลายๆพื้นที่เริ่มหนาว อย่างกรุงเทพอากาศเริ่มเย็นลงแต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้กี่วัน แต่สำหรับพี่น้องชาวบ้านที่คิดจะหาเสื้อผ้ามือสองโดยเฉพาะเสื้อกันหนาวที่จะขายดีในช่วงนี้ว่า ควรจะใส่ใจในการเลือกซื้อกันซักนิดนะครับ
             เพราะเสื้อผ้ามือสองนั้นอาจจะมีเชื้อโรคติดต่างๆติดมาด้วย เช่น เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา พยาธิ โดยจะส่งผลกระทบกับสุขภาพผู้สวมใส่ได้ โดยเฉพาะโรคสำคัญ คือ กลากเกลื้อน ภูมิแพ้ และโรคจากเชื้อราต่างๆ ซึ่งโรคเหล่านี้มีที่มาจาก พยาธิในดิน ตัวไร ตัวเรือน ตัวเห็บ หมัด โลน ที่อาศัยอยู่ในเส้นใยผ้า ซึ่งเรา มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าได้
           เมื่อเราสัมผัสโดนมันก็จะดูดเลือดทำให้ผิวหนังของผู้ถูกสัมผัสเป็นผื่นแดงมีอาการคัน ติดเชื้อก่อให้เกิดโรคผิวหนังในร่มผ้าได้ ดั้งนั้นเมื่อเราจะซื้อเสื้อผ้ามือสองควรเลือกเสื้อผ้าที่สภาพดี ที่สำคัญก่อนนำมาใส่ควรที่จะทำความสะอาดก่อน เพื่อฆ่าเชื้อ โดยการ นำไปซัก แช่น้ำร้อนต้มน้ำให้เดือด  และตากในที่แสงแดดจัดให้แห้งจะช่วยป้องกันโรคต่างๆที่จะติดมากับเสื้อผ้ามือสองเหล่านี้ได้ครับ
       หลายท่านที่จะไปเที่ยวช่วงหน้าหนาวนี้ก็ต้องรักษา สุขภาพกันด้วยนะครับ จะได้มีเวลาไปเที่ยวอย่างมีความสุข และมีแรงทำงานต่อไปอย่างมีสุขนะครับ

วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ต่างชาติไม่กลัวที่จะมาเที่ยวไทย

     เมื่อวันที่ 18 พย. 2557 กรุงเทพโพล ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจำนวน1,044 คน ในเรื่อง "ความเห็นของชาวต่างชาติต่อการมาเที่ยวเมืองไทยภายใต้กฎอัยการศึก" พบว่าชาวต่างชาตถึงร้อยละ 72.9 ตั้งใจเดินทางมาที่ประเทศไทยมีจุดประสงค์หลักคือมาท่องเที่ยว และชาวต่างชาติ ร้อยละ 70.1 ระบุกฎอัยการศึกนั้นไม่ส่งผลกระทบการมาเยื่อนประเทศไทย ขณะที่ร้อยละ29.9 ระบุมีผลกระทบ และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติร้อยละ86.1 ยังเห็นว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยว มีเพียงร้อยละ2.4 เท่านั้นที่เห็นว่ามีผลกระทบหรือไม่ปลอดภัย และอีกร้อยละ11.5 ตอบว่าไม่แน่ใจ
       สำหรับเรื่องที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเห็นว่าประเทศไทยควรปรับปรุงแก้ไขมากที่สุดคือ รถแท็กซี่ ตุ๊กตุ๊ก คิดค่าโดยสารเกินราคา ไม่ยอมกดมิเตอร์ และพาอ้อม คิดเป็นร้อยละ 22.3  รองลงมาคือปัญหาจราจรติดขัด(ซึ่งก็ไม่ได้เดือดร้อนแค่ชาวต่างชาติหรอกครับ)คิดเป็นร้อยละ15.7 และการสื่อสารภาษา อังกฤษของคนไทย คิดเป็นร้อยละ12.7 และเมื่อให้นักท่องเที่ยวประเมินความพึงพอใจกับการมาเที่ยวประเทศไทยในด้านต่างๆ พบว่ามีความพึงพอใจเฉลี่ยอยู่ที่ 7.70 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิมเมื่อปีที่แล้ว 0.5 คะแนน โดยมีความพึงพอใจใน ศิลปวัฒนธรรมและประเพณีมากที่สุด ที่8.40 คะแนน แต่พึงพอใจในสภาพอากาศน้อยที่สุด 6.75 คะแนน
      ครับต้องบอกว่าภาคการท่องเที่ยวยังเป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจของบ้านเรา ซึ่งจากตัวเลขผลโพลข้างต้นคงพอให้ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว ได้พอชื่นใจขึ้นมาบ้างถึงความเชื่อมั่นต้องการท่องเที่ยวและความปลอดภัยในไทยอยู่ ที่เหลือคงขึ้นอยู่กับรัฐบาลและพวกเราละครับว่าจะเพิ่มความเชื่อมั่นเหล่านี้และรักษามันไว้ได้หรือไม่ครับ

วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

"สารลดความอ้วน" ในอาหารเสริม

        อาหารเสริมทุกวันนี้ต่างโฆษณาสรรพคุณว่าสามารถลดน้ำหนักให้กับผู้รับประทานได้ บางยี่ห้อโฆษณาว่าสามารถลดได้อย่างรวดเร็วให้ผลในเวลาไม่กี่วัน ทั้งที่ผลิตในบ้านเราและนำเข้ามาจากต่างประเทศ โดยที่ไม่มีสลากภาษาไทย และเครื่องหมาย เลขทะเบียนสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ซึ่งสามารถแยกรูปแบบได้ดั่งนี้ครับ 1.แบบผงชงดื่ม 2.แบบเม็ดและแคปซูล 3.ผงกาแฟสำเร็จรูป  ซึ่งบางยี่ห้อนั้นไม่บอกรายละเอียดส่วนผสมที่ชัดเจน และผู้ใช้หรือผผู้ซื้อก็ไม่ได้สนใจที่จะอ่านเหมือนกัน โดยส่วนมากผู้ใช้ได้เลือกซื้อโดยคำบอกเล่าจากเพื่อนๆหรือผู้ขายโดยไม่สนใจที่จะอ่านสลาก ว่าผ่านการรับรองจาก อย.หรือเปล่า
        และก็มีอาหารเสริมบางยี่ห้อที่ผสมสารอันตรายอย่าง"ไซบูทรามีน" ไซบูทรามีนนั้นเป็นสารออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ช่วยยับยั้งการอยากอาหาร กินน้อยอิ่มเร็ว ไม่หิว ผลข้างเคียงของยาคือทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง ห้ามใช้กับผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือด ผู้ป่วยด้วยโรคความดัน สมองตีบ ผู้ป่วยด้วยโรคตับ-ไต รวมถึงหญิงมีครรภ์ บ้านเรานั้นห้ามนำเข้ามาตั้งแต่ปี 2555

และก็ยังมีกาแฟบางยี่ห้อที่ประสมสารอันตรายนี้ โดยผู้เชี่ยวชาญบอกว่าถ้าใครกินกาแฟแล้วน้ำหนักลด ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยละว่า กาแฟที่เราทานอยู่นี้ผสมสารไซบูทรามีน ซึ่งเมื่อเรารับประทานมากๆหรือบ่อย อาจจะตายได้เลยนะครับ
        การดำเนินเอาผิดกับผู้ขายก็ยากเพราะส่วนมากแล้วก็ไม่มีฉลาก ไม่ทราบแห่งที่มาที่ชัดเจนหรือที่จำหน่าย อีกทั้งสินค้าเหล่านี้ยังไม่ได้บอกส่วนประสมตามความเป็นจริง แอบใส่สารอื่นเช่น
1.ยาขับปัสสาวะ ถ่ายน้ำในร่างกายน้ำหนักตัวลดเร็ว
2.ยาดักไขมัน ยับยั่งการย่อยไขมัน ขับออกมาเป็นอุจจาระ
3.ธัยรอยด์ฮอร์โมน ช่วยเผาผลาญพลังงานในร่างกาย
4.อนุพันธ์ยาบ้า ยับยั่งการอยากอาหารที่สมอง
5.แอลคาร์นิทีน กระตุ้นการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย
            การพิสูจน์นั้นเป็นเรื่องยากเพราะต้องไปดูที่โรงงาน ว่าผสมจริงหรือไม่ เพราะฉะนั้นผู้ซื้อควรตรวจดูในขั้นต้นเช่น มี อย.หรือเปล่า มีชื่อ ที่อยู่ ผู้ผลิต ฯลฯ และที่สำคัญควรซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ไม่ควรซื้อตามตลาดนัดหรือทางอินเตอร์เน็ต เพราะเมื่อเกิดปัญหาจะติดตามเอาผิดยากมากครับ
      การสวยหุ่นดีเป็นสิ่งที่สาวๆทุกคนต่างต้องการ แต่การที่รีบเร่งเกินไปโดยการทานยาหรืออาหารเสริมที่ไม่ผ่าน อย. นั้นอาจอันตรายยิ่งกว่า ผมว่าสาวๆควรใส่ใจในเรื่องการควบคุมอาหาร ออกกำลังกายสม่ำเสมอหรือจะปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการก็เป็นสิ่งที่ดีครับ จะได้สวยสมใจ.......

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ความรู้ใหม่กับโรคเอดส์หรือเอชไอวี

ด้วยความก้าวหน้าของวิทยาการทางการแพทย์ที่เจริญไปมากนั้น ได้ส่งผลให้ผู้ป่วยเอชไอวีหรือโรคเอดส์นั้นมีสภาพชีวิตที่ดีขึ้น อายุทั่ยื่นยาว สุขภาพแข็งแรงไม่ต่างจากคนปกติโดยทั่วไป ในอดีตผู้ป่วย จะหน้าตาทรุดโทรม ผอมแห้ง และเสียชีวิตเร็วนั้นดู เหมือนจะเป็นภาพในอดีตไปแล้ว เพราะทุกวันนี้สามารถผลิตยาต้านไวรัสให้ผู้ติดเชื้อมีประสิทธิภาพดีขึ้นรวมถึงการเข้าถึงยาต้านไวรัสด้วย ทำให้พวกเขาเหล่านั้นสามารถมีชีวิตที่อบอุ่น สามารถมีลลูกหลานที่ไม่ติดเชื้คอยดูแลยามแก่เฒ่าได้ ครับใครๆก็อยากมีชีวิตคู่และมีลูกเพื่อให้ครอบครัวสมบรูณ์ ผู้ป่วยส่วนมากมีความคิดว่า ไม่กล้าที่จะมีคู่หรือไม่กล้าบอกรวมไปถึงการมีบุตร ซึ่งความคิดนี้"เป็นความคิดที่ผิดในสมัยนี้"ผู้ติดเชื้อสามารถมีคู่ได้ไม่ว่าคู่จะติดเชื้อหรือไม่ก็ตาม และสามารถมีลูกได้โดยที่เด็กเกิดมาจะแข็งแรงไม่ติดเชื้อถ้าคุณแม่ได้รับการรักษา ได้ยาต้านไวรัสที่เหมาะสม เพราะยาต้านไวรัสมีการพัฒนามาโดยตลอด ให้ผู้ติดเชื้อต้องทานยาอย่างมีวินัย สามารถคุมเชื้อไวรัสในกระแสเลือดได้ และจะได้ไม่ส่งผ่านต่อคู่รักหรือต่อเด็ก แม่ที่ติดเชื้อสามารถตั้งครรภ์โดยที่ร่างกายอ่อนแอลง มีการศึกษาพบว่าการตั้งครรภ์ไม่มีผลเสียต่อร่างกายของแม่เด็ก เพราะฉะนั้นสามีภรรยาที่ติดเชื้อสามารถมีบุตรได้อย่างปลอดภัย ที่สำคัญคือการฝากท้องและรับยาต้านไวรัสเอชไอวีโดยเร็ว
       อย่างไรก็ดีหากมีการติดเชื้อเกิดขึ้น ซึ่งเป็นไปได้น้อยมาก ซึ่งสมัยก่อนเด็กอาจจะเสียชีวิตตั้งแต่ยังเป็นเด็กน้อย แต่เดียวนี้เด็กสามารถใช้ชีวิตปรกติ ขอแค่มาตรวจกับหมอเป็นประจำ สม่ำเสมอและกินยาอย่างเคร่งครัด บางคนใช้ชีวิตจนเติบใหญ่มีครอบครัวที่สมบรูณ์ เพราะฉะนั้นโรคเอดส์จึ่งเป็นโรคที่น่ากลัวเหมื่อนแต่ก่อนและไม่ติดกันง่ายๆ ผู้คนทั่วไปจึงต้องเปลี่ยนความคิดต่อผู้ป่วยเหล่านี้ให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตอย่างปรกติในสังคมอย่างมีความสุขครับ

ผักผลไม้ช่วยล้างพิษ

หลายๆท่านคงเคยหาวิธีในการช่วยในการขับสารพิษออกจากร่างกาย เช่น ล้างพิษด้วยกาแฟบ้าง การสวนล้างลำไส้ใหญ่ การรับประทานยาระบาย แต่ยังมีวิธีการง่ายๆอีกวิธีหนึ่งซึ่งหลายคนมองข้ามไป ซึ่งเป็นวิธีการที่ใกล้ตัวเราและเป็นวิธีธรรมชาติ และทำได้ทุกวันด้วยครับ คือการล้างพิษด้วยการรับประทานผักและผลไม้สด
การล้างพิษคือการนำของเสียต่างๆออกจากร่างกายทั้งในรูปแบบของเหลว หรือที่มีความหนาแน่นหรือที่จวมตัวกันเป็นของแข็งที่สะสมในลำไส้ใหญ่ให้ขับถ่ายออกมา ซึ่งของเสียเหล่านั้นสร้างความเป็นกรดให้แก่ร่างกายของเราเป็นอย่างมาก ส่งผลต่างๆให้ร่างกาย เช่น ปวดเหมื่่อย ไม่สดชื่นไม่สดใส ท้องอืดท้องเฟ้อ ไม่ขับถ่ายหรือถ่ายไม่หมด มีผลทางอารมณ์ทำให้หงุดหงิดง่าย โกรธง่าย คิดมาก จนสุดท้ายส่งผลให้นอนไม่หลับ
การล้างพิษด้วยผักผลไม้สดนั้น คือ การรับประทานผัก-ผลไม้ทั้งผลหรือการแบบน้ำผลไม้สกัด หรือแบบปั่นละเอียด เพื่อให้ร่างกายเรานั้นประบตัวเป็นด่าง ช่วยให้ร่างกายขับสารพิษออกมาได้ง่าย และขับถ่ายออกมาในรูปแบบต่างๆ เช่น กากใย-ไฟเบอร์จากผักผลไม้ทำหน้าที่ช่วยในการขับสารพิษ สิ่งสกปรกออกมา เช่น ออกกำลังกาย มีเหงื่อออก แต่กลิ่นเหงื่อไม่แรง แสดงว่า"ร่างกายสะอาด" หรือการขับถ่ายในรูปแบบของเสีย ทั้งถ่ายหนักถ่ายเบา ประโยชน์ของวิธีคือ ผักและผลไม้ส่วนมากเป็นด่าง ให้เอ็นไซม์ วิตามิน เกลือแร่ แร่ธาตุ และน้ำตาลเชิงเดี่ยวซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันที รวมถึงผักบางชนิดมีสรรพคุณทางยา ช่วยขจัดพิษต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย สิ่งที่เราใช้ให้เข้าไปชะล้างสารพิษในร่างกาย ถ้าเป็นสิ่งที่เราทานได้นั้นจะดีที่สุด และถ้าได้มาจากธรรมชาติร่างกายยอมตอบสนองดีกว่า อย่างผึกผลไม้ออร์แกนิค
   เรามาดู 10 สุดยอดผักผลไม้ในการช่วยขับของเสียและล้างสารพิษออกจากร่างกายกันครับ
1.ผักปวยแล้ง ช่วยขับและลัางสารพิษออกจากร่างกาย ฟื่นฟูความจำ
2.ผักชี ที่เราๆท่านๆทานกันอยู่ประจำในอาหารไทยส่วนมากแล้วนั้น ช่วยลดแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรค
3.ผักสลัดกรีนโอ๊ค ช่วยลดความดันโลหิตสูง บำรุงระบบประสาท
4.ผักบุ้งจีน ช่วยบำรุงสายตา ลดเบาหวานล ดอาการร้อนใน ตัวร้อนเป็นไข้
5.ผักสะระแหน่ ช่วยขับลมในลำไส้ ช่วยย่อยอาหาร
6.แครอท  ต่อต้าอนุมูลอิสระ ป้องกันโรคประสาทเสื่อม บำรุงสายตา
7.บีทรูท บำรุงเลือด ป้องกันโรคกระเพาะ ลดอนุมูลอิสระ
8.มะนาว เชื่อว่าแทบจะทุกบ้านในสังคมไทยขาดมะนาวไม่ได้เพราะมะนาวเป็นหนึ่งในส่วนประกอบของอาหารแทบทุกชนิด มะนาวมให้วิตามินซี เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ส่งเสริมระบบย่อยอาหาร
9. ขิง ลดการอักเสบที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย เช่นตามข้อต่อต่างๆ และให้พลังงาน
10.แอปเปิ้ล ให้กากใย-ไฟเบอร์ บำรุงร่างกาย ทำให่สดชื่น เหมาะกับผู้ควบคุมน้ำหนัก
      ครับวิธีการง่ายๆเพี่ยงแค่นี้เราก็สามารถขับพิษออกจากร่างกายได้ทุกวันและที่สำคัญต้องเลือกรับประทานที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพื่อให้ส่วนต่างๆในร่างกายทำงานได้เป็นปรกติ และมีประสิทธิภาพ เราจะได้มีชีวิตที่ยืดยาวต่อไปนานครับ

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

โลกร้อน อีกก้าวของสหรัฐและจีน

เมื่อไม่กี่วันมานี้ ต้องถือเป็นข่าวดีของประชาคมโลก เมื่อยักษ์ใหญ่ผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด คือจีนและสหรัฐ บรรลุข้อตกลงครั้ง "ประวัติศาสตร์" ที่กรุุงปักกิ่ง  นี่นับเป็นครั้งแรกของประเทศจีนที่ยอมประกาศ"กำหนดวัน" ในการยุติการปล่อยก๊าซเรือนสู่ชั้นบรรยากาศ เพราะจีนเป็นประเทศที่ปล่อยมลพิษมากที่สุดนั้นเอง ภายใต้ข้อตกลงนี้ทางสหรัฐจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 26-28% ภายในปี พ.ศ.2568 เมื่อเทียบกับปี 2548 ซึ่งสหรัฐก็พยายามดำเนินการเป้าหมายคือลดการปล่อยก๊าซลง 17 % ในปี 2563 ซึ่งเป้าหมายใหม่จะทำให้สหรัฐลดการปล่อยก๊าซได้เร็วขึ้นถึง 2 เท่า ส่วนจีนที่ปล่อยก๊าซเพิ่มขึ้นทุกปี จากการสร้างโรงงานถ่านหินก็ตั้งเป้าจะลดการปล่อยก๊าซในระดับสูงสุดไม่เกินปี 2573 หรือเร็วกว่านั้นถ้าทำได้ โดยจีนจะลดารใช้เชื้อเพลิง ฟอสซิลลง 20% ในปี2573 
         จากผลการสำรวจและการทำวิจัยพบว่าถ้าประชาคมโลกไม่สามารถจำกัดอุณหภูมิตามเป้าหมายของสหประชาชาติ คือ  2 เปอร์เซ็น เหนือระดับยุคก่อนอุตสาหกรรม หากประชาคมโลกไม่สามารถทำได้ตามนี้ เราๆท่าน คงได้เฆ้นหายนะครั้งใหญ่แน่ๆ 
          จีนและสหรัฐปล่อยก๊าซเรือนกระจกร่วมกันประมาณ 45% ของก๊าซที่ปล่อยทั้งโลก(จีน 29% ,สหรัฐ16%, สหภาพยุโรป 11 %) ทั้ง 2ชาติจึงเป็นหลักประกันในการรับประกันความร่วมมือในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่จะประชุมใหญ่ ในปีหน้า ที่ กรุงปารีส ฝรั่งเศส ทั้งสองประเทศตั้งท่าแบบไม่ยอมกันมานานเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งก็เป็นเรื่องท้าทายของทั้งสองประเทศไม่ว่าจะเป็นสหรัฐหรือจีน ว่าจะทำได้หรือไม่ สหรัฐผู้เคยให้สัตยาบันพีธีการเกียวโตว่าด้วยโลกร้อน ว่าจะลดแต่ก็มีการปรับเปลี่ยนหลายหน ส่วนจีนซึ่งแต่ก่อน มักบอกว่าจะ ทำโดยเร็ว ที่มาครั้งนี้มีการกำหนดวันและปล่อยก๊าซในระดับสูงสุด
แต่ทั้งสองประเทศนั้นจะทำได้มากน้อยแค่ใหนเราต้องคอยดูกันเพราะการขยายตัวทางเศรษฐกิจก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน


วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ฟิเล ก้าวต่อไปของวงการวิทยาศาสตร์

ช่วงสองวันที่ผ่านมานี้ มีข่าวดีทางวิทยาศาสตร์อวกาศเกี่ยวกับการนำยานอวกาศขนานเล็กลงจอดบนดาวหางได้เป็นครั้งแรก ข่าวนี้เป็นที่สนใจไปทั่วโลกแต่ที่บ้านเรากลับไม่เป็นที่สนใจเท่าที่ควร ขนานgoogle ยังทำรูปลงในช่องค้นหาเลย ยานอวกาศฟิเลออกเดินทางกับยานแม่โรเซตตาเมื่อ 10 ปีก่อนไล่ล่าดาวหางชื่อ 67 พี/ชูริวมอฟ-เกราซิเมนโก จนเมื่อสองเดื่อนก่อนก็ตามดาวหาวดวงนี้ทัน แต่ว่าก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ลงจอด เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญพบปัญหาในการลงจอด เพราะระบบลงจอดไม่่สมบูรณ์ นักวิทยาศาสตร์ต่างพากันเฝ้ารอ จนเวลาผ่านไป 7 ชั่วโมงฟิเล ก็ติดต่อเข้ามาว่าเดินทางมาถึงดาวแล้วแต่ก็ต้องใช้เวลาอีกกว่า 3 ชั่วโมงในการนำยานลงจอดเพราะพื้นผิวที่เป็นน้ำแข็งและฝุ่นของดาวได้ สืบเนื่องมาจากอุปกรณ์ยึดพื้นผิวของยานไม่ทำงานหรือไม่ประสบผลสำเร็จในการยึดเกาะจนต้องใช้เวลานานมากจนนักวิทยาศาสตร์เกรงว่ายานจะหลุดออกจากวงโคจรของดาวหาง
นับจากนี้ไปนักวิทยาศาสตร์จะได้ทำการศึกษาข้อมูลของดาวหางที่ฟิเลส่งมา ถึงสมมุติฐานการกำเนิดสิ่งมีชีวิตของจักวาลได้ โดยเชื่อว่าดาวหาวนั้นได้นำน้ำและสสารต่างๆมาสู่ดาวเคราะห์ และนั้นอาจจะอธิบายการถือกำเนิดของสิ่งมีชีวิตเริ่มแรกบนดาวเคราะ์ที่ชื่อว่าโลกก็เป็นได้

วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

บทลงโทษผู้ขาย "บารากุ"และบุหรี่ไฟฟ้า

สวัสดีครับ วันนี้เรามีข่าวถึงเรื่อง การสูบบารากุและบุหรีไฟฟฟ้าครับ ที่เข้าใจง่ายๆคือ บารากุ มีต้นกำเนิดมาจากชาว อาหรับและนิยมสูบในตะวันออกกลาง
อุปกรณ์นี้มีชื่อเรียกที่ต่างกันหลายภาษาเช่น water pipe, narghile, hubble-bubble ภาษาไทยเองก็เรียกเพี้ยนเป็น บารากู่ เป็นต้น มีงานศึกษาเกี่ยวกับการใช้นั้น ถ้าใช้เวลาสูบนาน 45 นาที จะได้รับสารทาร์เป็น 36 เท่า คาร์บอนมอนนอกไซด์เป็น 15 เท่า และนิโคตินเป็น 70เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้บุหรี่ 9 มวน(ซึ่งคำนวณว่า 1 มวนใช้เวลา 5 นาที) และอีกการศึกษาหนึ่งพบว่าเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่สูบยาแล้ว มีโอกาสเป้นโรคเหงือกมากกว่าถึง 5 เท่า
แม้บารากู่จะมีกลิ่นหอมหวานชวนให้ลุ่มหลงในการสูบอย่างถอนตัวไม่ขึ้น แต่รู้หรือไม่จากการวิจัยได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า บารากู่มีอันตรายมากกว่าการสูบบุหรี่ทั่วไป เพราะมีสารทาร์และนิโคตินจำนวนมากกว่า อีกทั้งการสูบผ่านน้ำและการผสมกลิ่นผลไม้ต่างๆ จะทำให้ความเข้มข้นของควันจางลง แต่กลับทำให้ผู้สูบสูบได้ลึกขึ้นและจำนวนมากขึ้น
เมื่อเทียบการสูบบารากู่นาน 45 นาที จะได้รับสารทาร์เป็น 36 เท่า คาร์บอนมอนอกไซด์เป็น 15 เท่า และนิโคตินเป็น 70 เท่า ของการสูบบุหรี่ 1 มวน ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายมาก โดยผู้ที่สูบจะได้รับก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ซึ่งเป็นสารที่เป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดแข็งตัว และโรคเรื้อรังของระบบทางเดินหายใจ ผู้สูบจะมีอาการปวดศีรษะ ตามองเห็นภาพไม่ชัด ใจสั่น เวียนศีรษะ และมีระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดมากกว่าผู้ที่สูบบุหรี่ทั่วไป
อีกทั้งยังอาจกระตุ้นให้เกิดหลอดลมตีบตันในตัวผู้ป่วยโรคหอบหืด และเพิ่มการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร จึงเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นแผลในกระเพาะอาหาร นอกจากนี้ ยังพบว่าทำให้เกิดการเจริญเติบโตผิดปกติของทารกในครรภ์อีกด้วย
ถึงแม้กำลังดำเนินมาตรการห้ามขายในสถานบันเทิง แต่บารากู่สุดฮิตของเหล่าวัยรุ่นทั้งหลายก็ยังมีจำหน่ายอยู่เกลื่อนทั้งตามตลาดเปิดท้ายกลางคืนอย่าง ตลาดนัดรถไฟ คลองหลอด สะพานพุทธ รวมไปถึงการซื้อขายอย่างง่ายดายในอินเทอร์เน็ต นอกจากนั้น ยังได้มีการดัดแปลงบารากู่ให้สามารถใช้งานได้สะดวกขึ้น ด้วยการผลิตออกมาเป็นแบบไฟฟ้า ลักษณะเดียวกับบุหรี่ไฟฟ้า 
และนี่คือโทษของผู้ขายบุหรีไฟฟ้าและบารากุไฟฟ้าครับ
การจำหน่ายสินค้าดังกล่าวมีความผิดตามพ.ร.บ. ขายตรง พ.ศ.2545 มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และยังมีความผิดในพ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ.2535 มีโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท รวมทั้งผิดตามพ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 มาตรา 12 มีโทษจำคุก 5 ปี ปรับไม่เกิน 10,000 บาท และมาตรา 72 มีโทษจำคุก 5 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท รวมทั้งความผิดตามพ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 มีโทษปรับไม่เกิน 4 เท่าของราคาของ หรือจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ ยังผิดพ.ร.บ.สรรพสามิต พ.ศ.2527 มีโทษปรับ 2-10 เท่าของค่าภาษีด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เทศกาล ลอยกระทง

สวัสดีครับ วันนี้ก็เป็นวันเทศกาลสำคัญอีกวันหนึ่งของคนไทยนะครับ เพราะวันนี้คือ วันลอยกระทงครับ  ซึ่งก็ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน12  ตามปฏิทินจันทรคติไทย ตามปฏิทินจันทรคติล้านนา มักจะตกอยู่ในราวเดือนพฤศจิกายน ตามปฏิทินสุริยคติ ประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อพระแม่คงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก สำหรับประเทศไทยประเพณีลอยกระทงได้กำหนดจัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ ลำคลอง หรือ แหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจแตกต่างกันไป
ในวันลอยกระทง ผู้คนจะพากันทำ "กระทง" จากวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ตกแต่งเป็นรูปคล้ายดอกบัวบาน ปักธูปเทียน และนิยมตัดเล็บ เส้นผม หรือใส่เหรียญกษาปณ์ลงไปในกระทง แล้วนำไปลอยในสายน้ำ (ในพื้นที่ติดทะเล ก็นิยมลอยกระทงริมฝั่งทะเล) เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ไป นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการลอยกระทง เป็นการบูชาและขอขมาพระแม่คงคาด้วย

ประวัติ

เดิมเชื่อกันว่าประเพณีลอยกระทงเริ่มมีมาแต่สมัยสุโขทัย ในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง โดยมีนางนพมาศหรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ เป็นผู้ประดิษฐ์กระทงขึ้นครั้งแรก โดยแต่เดิมเรียกว่าพิธีจองเปรียง ที่ลอยเทียนประทีป และนางนพมาศได้นำดอกโคทม ซึ่งเป็นดอกบัวที่บานเฉพาะวันเพ็ญเดือนสิบสองมาใช้ใส่เทียนประทีป แต่ปัจจุบันมีหลักฐานว่าไม่น่าจะเก่ากว่าสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยอ้างอิงหลักฐานจากภาพจิตรกรรมการสร้างกระทงแบบต่างๆ ในสมัยรัชกาลที่1

ประเพณีในแต่ละท้องถิ่น

  • ภาคเหนือตอนบน นิยมทำโคมลอย เรียกว่า "ลอยโคม" หรือ "ว่าวฮม" หรือ "ว่าวควัน" ทำจากผ้าบางๆ แล้วสุมควันข้างใต้ให้ลอยขึ้นไปในอากาศอย่างบัลลูน ประเพณีของชาวเหนือนี้เรียกว่า ยี่เป็งหมายถึงการทำบุญในวันเพ็ญเดือนยี่(ซึ่งนับวันตามแบบล้านนา ตรงกับวันเพ็ญเดือนสิบสองในแบบไทย)
    • จังหวัดเชียงใหม่ มีประเพณี"ยี่เป็ง"เชียงใหม่ ในทุกๆปีจะมีการจัดงานขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา และมีการปล่อยโคมลอยขึ้นเต็มท้องฟ้า
    • จังหวัดตาก จะลอยกระทงขนาดเล็กทยอยเรียงรายไปเป็นสาย เรียกว่า "กระทงสาย"
    • จังหวัดสุโขทัย ขบวนแห่โคมชักโคมแขวน การเล่นพลุตะไล ไฟพะเนียง
  • ภาคอีสาน ในอดีตมีการเรียกประเพณีลอยกระทงในภาคอีสานว่า สิบสองเพ็ง หมายถึงวันเพ็ญเดือนสิบสองซึ่งจะมีเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไป เช่น
  • ภาคกลาง มีการจัดประเพณีลอยกระทงขึ้นทั่วทุกจังหวัด
    • กรุงเทพมหานคร จะมีงานภูเขาทอง เป็นรูปแบบงานวัด เฉลิมฉลองราว 7-10 วัน ก่อนงานลอยกระทง และจบลงในช่วงหลังวันลอยกระทง
    • จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีการจัดงานประเพณีลอยกระทงกรุงเก่าขึ้นอย่างยิ่งใหญ่บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ภายในงานมีการจัดแสดงแสง สี เสียง อย่างงดงามตระการตา
  • ภาคใต้ อย่างที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ก็มีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ นอกจากนั้น ในจังหวัดอื่นๆ ก็จะจัดงานวันลอยกระทงด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ในแต่ละท้องถิ่นยังอาจมีประเพณีลอยกระทงที่แตกต่างกันไป และสืบทอดต่อกันเรื่อยมา

ความเชื่อเกี่ยวกับวันลอยกระทง

  • เป็นการขอขมาพระแม่คงคา ที่มนุษย์ได้ใช้น้ำ ได้ดื่มกินน้ำ รวมไปถึงการทิ้งสิ่งปฏิกูลต่างๆ ลงในแม่น้ำ
  • เป็นการสักการะรอยพระพุทธบาท ที่พระพุทธเจ้าทรงได้ประทับรอยพระบาทไว้หาดทรายแม่น้ำนัมมทานที ในประเทศอินเดีย
  • เป็นการลอยความทุกข์ ความโศกรวมถึงโรคภัยต่างๆ ให้ลอยไปกับแม่น้ำ
  • ชาวไทยในภาคเหนือมีความเชื่อว่า การลอยกระทงเป็นการบูชาพระอุปคุต ตามตำนานเล่าว่า พระอุปคุตทรงสามารถปราบพระยามารได้
ลอยกระทงกับวัยรุ่น 
หลายปีมานี้วัยรุ่นไทยได้แปลเปลี่ยนเทศกาลลอยกระทงเป็นเทศกาลเสียตัวไป ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างสูง พ่อแม่ผู้ปกครองควรให้คำปรึกษาและแนะแนวให้ดี ว่าวันนี้เราจะทำความดี ขอขมาพระแม่คงคา เป็นการลอยทุกข์ลอยโศกชีวิตจะได้เจอแต่สิ่งดีๆ ไม่ใช่วันที่เราจะมาเสียตัวหรือทำเรื่องไม่ดีไม่งาม ทำลายมงคลชีวิตเราได้ สุดท้ายก็ฝากผู้ปกครอง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นหูเป็นตา คอยดูแลเพื่อลดเหตุการณ์ที่ไม่ดีที่จะเกิดขึ้น เพื่อรักษาไว้ซึ่งเทศกาลดีๆ สืบต่อไปครับ

วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ภาพลักษณ์ตำรวจไทย

สวัสดีครับช่วงนี้ก็ปลายฝนต้นหนาวกันแล้วก็รักษาสุขภาพกันด้วยนะครับ วันนี้เรามาพูดถึงภาพลักษณ์ของตำรวจในสายตาประชาชนทั่วไปกันครับ สืบเนื่องมาจากช่วงหลายสัปดาห์มานี้มีข่าวที่ต้องบอกว่าส่งผลต้องภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของตำรวจเป็นอย่างมาก รวมไปถึงคดีที่ทั่วโลกกำลังจับตามองอยู่ ต้องบอกว่าอย่างนั้น นั้นคือคดีที่เกาะเต่าครับ รายละเอียดของคดีนั้นหลายท่านคงพอจะทราบกันแล้วนะครับ คดีนี้ผู้ต้องหาเป็นชาวต่างชาติ เพื่อนบ้านเรานี้ละครับ และผู้เสียชีวิตก็เป็นชาวต่างชาติเช่นกัน คือเป็นคนอังกฤษ ทั้งสองมาเที่ยวที่เกาะเต่าและเสียชีวิตที่ชาดหายของเกาะ ตำรวจใช้เวลาอยู่สักพักก็สามารถหาตัวผู้กระทำผิดได้ ปรากฎเป็นชาวต่างชาติสัญชาติเมียร์มามีสองคนเช่นกัน ตำรวจได้เร่งสอบสวนและทำแผนประกอบคำรับสารภาพ เพราะกระทบต้องภาพลักษณ์ของประเทศ เพราะส่วนหนึ่งของรายได้ของประเทศก็มาจากการท่องเที่ยวนั้นเอง ตำรวจจึ่งต้องเร่งทำงาน แต่ก็มีเสียงสะท้อน(ซึ่งเราจะมาว่ากันนี้ละครับ)ออกมาแสดงถึงความไม่แน่ใจ ว่าตำรวจนั้นจับแพะหรือไม่ โดยเฉพาะในสังคมออนไลค์นั้นมีทั้้งรายละเอียดพร้อมข้อโต้แย้งของทางตำตรวจออกมา จนต้องมีการจัดแถลงถึงการจับกุมและลายระเอียดหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้เพิ่มความน่าเชื่อถือขึ้นเลย จนทางการอังกฤษต้องส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาดู ครับเรื่องนี้นะตอนนี้ยังไม่จบยังอีกยาวครับ คดีอาจจะพลิกได้ แต่ว่าผมก็ยังเชื่อมันในระบบยุติธรรมของเราครับ แต่ที่เราจะมาเล่าสู่กันฟังวันนี้คือทำใหม ความน่าเชื่อถือของตำรวจ"หายไปใหน"
       ครับเรื่องนี้จะให้กล่าวคงไม่จบลงง่ายๆเพราะเรื่องนี้เกิดจากการทำงานของตำรวจมานาน ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกครับที่ทำให้ภาพขององค์กรเสียแต่ว่ายุคสมัยก่อน เรื่องอย่างนี้อาจเป็นเพียงข่าวลือตำรวจนอกแถวทำไม่ดี นานๆครั้งจะจบได้ที่ แต่สังคมวันนี้เปลี่ยนไปครับ เทคโนโลยีก็เปลี่ยน ผู้คนเข้าถึงข่าวสารได้เร็วขึ้น ภาพและเสียงที่ตำรวจกระทำผิด(ซะเอง)นั้นได้ถูกตีแผ่ออกไปอย่างรวดเร็ว
โดยเรื่องที่ทำให้ประชาชนรู้สึกไม่เป็นมิตรกับตำรวจนั้นใหญ่ๆเลย คือการรับสินบน การรับส่วย การไม่บังคับใช้กฏหมายอย่างเท่าเทียมกัน นานๆเข้าทำให้ความน่าเชื่อถือน้อยลง บางคนทำรูปการ์ตูนลงเฟส เป็นตำรวจกำลังดักจบประชาชนที่ขับรถมาล้อเลียนกับโจรมุมตึกสมัยก่อน(ตั้งแต่เกิดมาโจรมุมตึกนี้ไม่เคยเจอนะครับแต่ตำรวจมุมตึก มุมถนน มุมต้นไม้ ข้างเสาไฟนี้เจอบ่อยๆ ส่วนมากมาในแนวที่ว่าไม่อยากไปโรงพัก ก็จัดมาซะตรงนี้)นี้คือพฤติกรรมส่วนน้อยของตำรวจ(ขอคิดว่าเป็นส่วนน้อยนะครับ)ที่เกิดขี้นบ่อยๆ
รวมไปถึงการยัดเยียดข้อหา การทำลายร่างกาย การพูดจาไม่เป็นมิตรกับประชาชน เป็นปัญหามาโดยตลอดครับ
      วันนี้การที่ตำรวจจะเรียกศรัธาคืนมาจากประชาชนนั้นไม่ใช่เรื่่องยากเท่ากับการปลูกฝังจิตจิตสำนึกต่อหน้าที่และการปฏิบัติตนต่อประชาชนอย่างเท่าเทียมกัน กรมตำรวจเป็นองค์กรใหญ่มีเจ้าหน้าที่สองแสนกว่าคนการที่จะบังคับทุกคนในตอนนี้ให้เดินตามกรอบตลอดคงยาก เพราะคนเคยกิน ก็คงกินวันยังค่ำ เมื่อโอกาสเอื้ออำนวย  ส่วนตัวผมจึ่งคิดว่าการเลือกสายเลือดใหม่มาแทนสายเลือดเก่าโดยที่ไม่ให้มีแนวคิดเหมื่อนสายเลือดเก่าต่างหากที่เป็นงานที่ยากกว่า ก็ขอฝากความหวังไว้กับท่าน ผบ.ตร คนปัจจุบันด้วยครับ เพราะถ้าไม่มีตำรวจใครจะค่อยปราบปรามเหล่าร้าย ใครจะคอยดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง(หรือจะเป็นทหาร) แต่เหนือสิ่งอื่นใดคดีที่เกาะเต่า ถ้าออกมาเป็นว่าตำรวจไม่ยุติธรรมแล้วละก็งานนี้ก็ต้องหาจอบ มาขุดกันเลยละครับ ขุดหาความ"ศรัธา"

วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2557

จิตตก โรคที่กำลังคุกคามคนสมัยนี้้

สวัดีครับช่วงที่ผมเขียนบทความนี้ ในบ้านเราก็มีเหตุการณ์มากมายหลายเรื่องหลายราวเกิดขึ้นทั้งการปรับราคาพลังงานภายในประเทศ ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น ซึ่งนั้นก็ส่งผลไปถึงราคาสิงค้าที่เตรียมจะปรับตามไปด้วยเป็เงาตามตัว ซึ่งภาครัฐคงต้องเข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิด รวมไปถึงข่าวการเมืองซึ่งเหมื่อนจะนิ่งๆแต่ก็ปรากฎว่ายังมีคลื่นใต้น้ำจน คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ต้องคงไว้ซึ่งกฎ อัยการศึก ทำให้ภาคการท่องเที่ยวของบ้านเรายังไม่กลับมาเป็นเหมื่อนเดิมอย่างที่ควรจะเป็น แต่จากรายข่าวก็ปรากฎว่า นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวที่บ้านเรามากกว่าช่วงเดียวกันของปี่ที่แล้วซึ่งก็ยังนับเป็นเรื่องดี อีกทั้งเรื่องข่าวทางสังคมที่มีข่าวด้านลบที่มีผลต้องสุขภาพจิตเราทั้ง ทั้งการข่มขืน การทำลายร่างกาย ปัญหาอื่นๆอีกส่งผลให้คนไทยมี"แนวโน้มผู้ป่วยทางจิตเภทมากขึ้น" จากการที่ไม่สามารถเข้าถึงการรักษา การขาดการรักษาอย่างต่อเนื่องรวมไปถึงการรักษาอย่างถูกวิธี และการที่สังคมมองผูป่วยจิตเภทในแง่ลบทั้งๆที่โรคนี้มีทางรัฏษาให้หายได้
       ครับเรื่องที่เราจะมาดูกันในวันนี้คือเรื่องของสุขภาพจิตครับ สหพันธ์สุขภาพจิตโลก ออกมาระบุว่าปัญจุบันทั่วโลกมีผู้ป่วยจิตเภท มากกว่า 26 ล้านคน และมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้น โรคจิตเภทนี้คือประเด่นที่ทั่วโลกตระหนักเพราะมีปัจจัยกระตุ้น ใให้จิตตกได้ง่าย การที่เราสร้างความเข้าใจ ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยแก้ปัญหา การแก้ปัญหาต้องเริ่มจากการเปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนทศนคติเชิงลบ เป็น ทศนคติเชิงบวก ซึ่งสังคมเรานั้นเข้าใจผิด จริงๆแล้วโรคนี้มีความผิดปกติทางความคิด เป็นความคิดที่หลงผิดไม่อยู่ในโลกของความเป็นจริิง ไม่มีความสมเหตุุสมผล ขาดความเชื่อมโยงของเหตุการณ์ จนแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมที่แปลกๆ ซึ่งในรายที่เป็นหนักๆ อาจเกิดอาการหวาดระแวงสูง รวมไปถึงการกลัวคนอื่นทำร้าย จนนำไปสู่เหตุการณ์ที่ไม่ดี ตอกย้ำภาพเชิงลบของผู้ป่วยเหล่านี้ลงไปอีก  จนทำให้สังคม เกิดอาการหวาดกลัว หลักการในการอยู่รวมกันกับผู้ป่วยจิตเภทมี 3 ประการคือ 1. ต้องเข้าใจผู้ป่วย เข้าใจโรค เข้าใจธรรมชาติของโลก 2.ความเอาใจใส่ติดตามดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดและประการที่3.การบอกผู้ป่วยให้ทราบคุณค่าของตัวเขาเอง และการหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นต่าง เช่น สารเสพติด การดื่มสุรา ที่สำคัญบุคลลในครอบครัว เพื่อนฝูง และสังคมควรให้กำลังใจและให้โอกาสกับพวกเขาเหล่านี้
     โลกเราทุกวันนี้มี ปัจจัยที่กระตุ้นให้ป่วยจิตมากขึ้นมีความเสี่ยงที่ทำให้จิตตกได้ง่าย การทำความเข้าใจและให้โอกาสจึงเป็นสิ่งสำคัญ

วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2557

ตำนานวันกินเจและความหมายของวันกินเจ

สวัสดีครับ ช่วงนี้ฝนก็ยังตกอยู่ ก็พากันดูแลสุขภาพกันด้วยนะครับ และวันนี้เราก็จะมาว่าถึงเทศกาลหนึ่งของคนไทยเชื่อสายจีนและคนจีนอื่นก็จัดเทศกาลนี้ นั้นคือ เทศกาล กินเจหรือประเพณีถือศีลกินผัก
เทศกาลกินเจนั้นเป็นประเพณีแบบลัทธิเต๋ารวม 9 วัน กำหนดเอาวันตามจันทรคติ คือ เริ่มต้นตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ ถึง ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีนของทุกปี มีจุดเริ่มต้นจากประเทศจีนมานานแล้ว โดยมีตำนานเล่าขานกันหลายตำนาน ปัจจุบัน เทศกาลกินเจจัดขึ้นในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย ตลอดจนหมู่เกาะรีออในอินโดนีเซียและอาจมีในบางประเทศเอชีย เช่น ภูฏาน ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน ฮ่องกง ซึ่งการกินเจในเดือน 9 นี้ เชื่อกันว่าน่าจะเกิดขึ้นเมื่อราว พ.ศ. 2170 ตรงกับสมัยอาณาจักรอยุธยา
ซึ่งในปีนี้มีเทศกาลกินเจถึง 2 ครั้งเลยนะครับ คือช่วงปลายเดือนกันยายน และอีกช่วงคือปลายเดือนตุลาคม เอาละครับก่อนอื่นเรามาว่าถึงที่มาที่ไปซึ่งประเพณีนี้มีมาอย่างยาวนาน เรื่องราวจึ่งมีมากมายหลายที่มาผมจึงร่วมมาคราวๆ ขาดตกอย่างไรต้องขอโทษมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
  ตำนานที่ 1.กล่าวกันว่า การกินเจเริ่มขึ้นเพื่อรำลึกถึงนักรบ "หงี่หั่วท้วง" ซึ่งเป็นทหารชาวบ้านของจีนที่ต่อสู้ต้านทานกองทัพแมนจูอย่างกล้าหาญ ฝ่ายแมนจูมีปืนไฟของชาวตะวันตกที่ฝ่ายจีนไม่มี นักรบหงี่หั่วท้วงเหล่านี้จะประกอบพิธีกรรมนุ่งขาวห่มขาว ไม่กินเนื้อสัตว์และผักที่มีกลิ่นฉุน และท่องบริกรรมคาถาตามความเชื่อของจีน เชื่อกันว่าจะสามารถป้องกันปืนไฟได้ แต่ก็ไม่ประสบผล ครั้นจีนพ่ายแพ้แมนจู ชายชาวจีนถูกบังคับให้ไว้ผมอย่างชาวแมนจู ซึ่งสร้างความคับแค้นให้แก่ชาวจีนอย่างมาก ชาวจีนจึงรำลึกถึงนักรบหงี่หั่วท้วงเหล่านี้ด้วยสำนึกในบุญคุณ
ตำนานที่2.เพื่อเป็นการประกอบพิธีกรรมเพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีตกาล 7 พระองค์และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ด้วยกัน หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า “ดาวนพเคราะห์” ทั้ง 9 ได้แก่ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธพระพฤหัสบดี พระศุกร์ พระเสาร์ พระราหู และพระเกตุ ในพิธีกรรมบูชานี้สาธุชนในพระพุทธศาสนาสละเวลาทางโลกมาบำเพ็ญศีลงดเว้นเนื้อสัตว์และแต่งกายด้วยชุดขาว
ตำนานที่3.ผู้ถือศีลกินเจในพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาของชาวจีนในประเทศไทย เพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีลกาล 7 พระองค์ ดังมีในพระสูตร ปั๊กเต๊าโก๋ว ฮุดเชียวไจเอียงชั่วเมียวเกง กล่าวไว้คือ พระวิชัยโลกมนจรพุทธะพระศรีรัตนโลกประภาโมษอิศวรพุทธะ พระเวปุลลรัตนโลกวรรณสิทธิพุทธะ พระอโศกโลกวิชัยมงคลพุทธะ พระวิสุทธิอาศรมโลกเวปุลลปรัชญาวิภาคพุทธะ พระธรรมมติธรรมสาครจรโลกมโนพุทธะ พระเวปุลลจันทรโภคไภสัชชไวฑูรย์พุทธะ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ คือพระศรีสุขโลกปัทมอรรถอลังการโพธิสัตว์และพระศรีเวปุลกสังสารโลกสุขอิศวรโพธิสัตว์ รวมเป็น 9 พระองค์(หรือ “เก้าอ๊อง”)ทรงตั้งปณิธานจักโปรดสัตว์โลก จึงได้แบ่งกายมาเป็นเทพเจ้า 9 พระองค์ด้วยกันคือ ไต้อวยเอี๊ยงเม้งทัมหลังไทแชกุน ไต้เจียกอิมเจ็งกื้อมึ้งงวนแชกุน ไต้กวนจิงหยิ้งลุกช้งเจงแชกุน ไต้ฮั่งเฮี่ยงเม้งม่งเคียกนิวแชกุน ไต้ปิ๊กตังง้วนเนี้ยบเจงกังแชกุน ไต้โพ้วปั๊กเก๊กบู๊เอียกกี่แชกุน ไต้เพียวเทียนกวนพัวกุงกวนแชกุน ไต้ตั่งเม้งงั่วคูแชกุน ฮุ้ยกวงไตเพียกแชกุน เทพเจ้าทั้ง 9 พระองค์ ทรงอำนาจตบะอันเรืองฤทธิ์บริหารธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และทอง ทั่วทุกพิภพน้อยใหญ่สารทิศ
ตำนานที่4.กินเจเพื่อเป็นการบูชา“กษัตริย์เป๊ง”ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ซ้องซึ่งสิ้นพระชนม์โดยทรงทำอัตวินิบาตกรรม (การฆ่าตัวตาย) ในขณะที่เสด็จไต้หวันโดยทางเรือ เมื่อมีพระชนนมายุได้ 9 พรรษา พิธีบูชาเพื่อระลึกถึงราชวงศ์ซ้องนี้ มีแต่เฉพาะในมณฑลฮกเกี้ยนซึ่งเป็นดินแดนผืนสุดท้ายของราชวงศ์ซ้องเท่านั้น โดยชาวฮกเกี้ยนได้จัดทำพิธีดังกล่าวนี้ขึ้นด้วยการอาศัยศาสนาบังหน้าการเมือง การที่เผยแผ่มาสู่เมืองไทยได้นั้นเพราะชาวจีนจากฮกเกี้ยนนำมาเผยแผ่
ตำนานที่5.1500 ปีมาแล้ว มณฑลกังไสเป็นดินแดนที่เจริญรุ่งเรืองมาก ฮ่องเต้เมืองนี้มีพระราชโอรส 9 พระองค์ซึ่งเป็นเลิศทั้งบุ๋นและบู๊จึงทำให้หัวเมืองต่างๆ ยอมสวามิภักดิ์ ยกเว้นแคว้นก่งเลี้ยดที่มีอำนาจเข้มแข็งและมีกองกำลังทหารที่เหนือกว่า ทั้งสองแคว้นทำศึกกันมาถึงครั้งที่ 4 แคว้นก่งเลี้ยดชนะโดยการทุ่มกองกำลังทหารที่มีทั้งหมดที่มากกว่าหลายเท่าตัวโอบล้อมกองทัพพระราชโอรสทั้งเก้าไว้ทุกด้าน แต่กองทัพก่งเลี้ยดไม่สามารถบุกเข้าเมืองได้จึงถอยทัพกลับ
จนวันหนึ่งชาวกังไสเกิดความแตกสามัคคีและเอาเปรียบกัน เทพยดาทราบว่าอีกไม่นานกังไสจะเกิดภัยพิบัติจึงหาผู้อาสาช่วยแต่ชาวบ้านจะพ้นภัยได้ก็ต่อเมื่อได้สร้างผลบุญของตนเอง ดวงวิญญาณพระราชโอรสองค์โตรับอาสาและเพ่งญาณเห็นว่าควรเริ่มที่บ้านเศรษฐีใจบุญ ลีฮั้วก่าย
คืนวันหนึ่งคนรับใช้แจ้งเศรษฐีลีฮั้วก่ายว่ามีขอทานโรคเรื้อนมาขอพบเศรษฐีจึงมอบเงินจำนวนหนึ่งให้เป็นค่าเดินทาง แต่ขอทานไม่ไปและประกาศให้ชาวเมืองถือศีลกินเจเป็นเวลา 9 วัน 9 คืนผู้ใดทำตามภัยพิบัติจะหายไป เศรษฐีนำมาปฏิบัติก่อนและผู้อื่นจึงปฏิบัติตามจนมีการจัดให้มีอุปรากรเป็นมหรสพในช่วงกินเจด้วย
เล่าเอี๋ยเกิดศรัทธาประเพณีกินเจของมณฑลกังไสจึงได้ศึกษาตำราการกินเจของเศรษฐีลีฮั้วก่ายที่บันทึกไว้ แต่ได้ดัดแปลงพิธีกรรมบางอย่างให้รัดกุมยิ่งขึ้นและให้มีพิธีเชี้ยยกอ๋องส่องเต้ (พิธีเชิญเง็กเซียนฮ่องเต้มาเป็นประธานในพิธี)
ตำนานที่6.ชายขี้เมานามว่า เล่าเซ็ง เข้าใจผิดคิดว่าแม่ตนตายไปเพราะเป็นโรคขาดสารอาหาร จนคืนหนึ่งแม่ได้มาเข้าฝันบอกว่า แม่ตายไปได้รับความสุขมากเพราะแม่กินแต่อาหารเจและตอนนี้แม่อยู่บนเขาโพถ้อซัว ตั้งอยู่บนเกาะน่ำไฮ้ ในมณฑลจิ๊ดเจียงถ้าลูกอยากพบแม่ให้ไปที่นั่น
ครั้นถึงเทศกาลไหว้พระโพธิสัตว์กวนอิมที่เขาโพถ้อซัว เล่าเซ็งอยากไปแต่ไปไม่ถูกจึงตามเพื่อนบ้านที่จะไปไหว้พระโพธิสัตว์ เพื่อนบ้านเห็นเล่าเซ็งสัญญาว่าจะไม่กินเหล้าและเนื้อสัตว์จึงให้ไปด้วย ระหว่างทางเดินสวนกับคนขายเนื้อเล่าเซ็งลืมสัญญาที่ให้ไว้เพื่อนบ้านก็หนีไป โชคดีที่มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินผ่านมาและต้องการไปไหว้พระโพธิสัตว์เล่าเซ็งจึงขอตามนางไป
เมื่อถึงเขาโพถ้อซัวขณะที่เล่าเซ็งก้มลงกราบไหว้พระโพธิสัตว์นั้น เขาเห็นแม่ลอยอยู่เหนือกระถางธูปที่คนอื่นมองไม่เห็น ขณะเดินทางกลับเขาได้แยกทางกับหญิงสาวและได้พบเด็กชายคนหนึ่งยืนร้องไห้อยู่จึงเข้าไปถามไถ่ได้ความว่าเป็นลูกของเขากับภรรยาที่เลิกกันไปนานแล้ว เขาจึงพาไปอยู่ด้วยแล้ววันหนึ่งหญิงสาวที่นำทางไปเขาโพถ้อซัวมาขออาศัยอยู่ด้วย ทั้งสามอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
หญิงสาวผู้นั้นเป็นสาวบริสุทธิ์ประพฤติตนเป็นคนดีอยู่ในศีลธรรมและถือศีลกินเจอยู่เนืองนิตย์ นางรู้ว่าใกล้ถึงวันตายของนางแล้วจึงบอกเล่าเซ็ง เมื่อถึงวันนั้นนางอาบน้ำแต่งตัวด้วยอาภรณ์ที่ขาวสะอาดแล้วนั่งสักครู่ก็สิ้นลม เล่าเซ็งเห็นการจากไปด้วยดีของนางคล้ายกับแม่จึงเกิดศรัทธายกสมบัติให้ลูกชายแล้วประพฤติตนใหม่ เมื่อตายไปจะได้บังเกิดผลเช่นเดียวกับแม่และหญิงสาวและประเพณีกินเจจึงเริ่มขึ้น
ครับนี้ก็เป็นตำนานคราวซึ่งบ้างตำนานนั้นผมก็ไม่ทราบมาก่อนเช่นกัน แต่อย่างไรเสียการกินเจก็เป็นสิ่งที่ดีเอาละครับเรามาดูความหมายของการกินเจกันครับ
ความหมายของการทานเจ
คำว่า เจ ในภาษาจีนทางพุทธศาสนานิกายมหายานมีความหมายเดียวกับคำว่า อุโบสถ ดังนั้นการกินเจก็คือการรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน เหมือนกับที่ชาวพุทธในประเทศไทยที่ถืออุโบสถศีล หรือรักษาศีล 8 โดยไม่รับประทานอาหารหลังจากเที่ยงวันไปแล้ว แต่เนื่องจากการถืออุโบสถศีลของชาวพุทธนิกายมหายานที่ไม่กินเนื้อสัตว์ จึงนิยมนำการไม่กินเนื้อสัตว์ไปรวมกันเข้ากับคำว่ากินเจ กลายเป็นการถือศีลกินเจ ในปัจจุบันผู้ที่รับประทานอาหารทั้ง 3 มื้อแต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ยังคงเรียกว่ากินเจ ฉะนั้นความหมายก็คือคนกินเจมิใช่เพียงแต่ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่ยังต้องดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์ สะอาด ทั้งกาย วาจา ใจ
จุดประสงค์ของการทานเจ
ผู้ที่กินเจอาจจะมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกันไป แต่จุดประสงค์หลักสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทดังนี้
  1. กินเพื่อสุขภาพ อาหารเจเป็นอาหารประเภทชีวจิต เมื่อกินติดต่อกันไปช่วงเวลาหนึ่งจะทำให้ร่างกายเกิดการปรับตัวให้อยู่ในสภาวะสมดุล สามารถขับพิษของเสียต่างๆ ออกจากร่างกายได้ ปรับระบบไหลเวียนโลหิต ระบบทางเดินอาหารให้มีเสถียรภาพ
  2. กินด้วยจิตเมตตา เนื่องจากอาหารที่เรากินอยู่ในชีวิตประจำวัน ประกอบด้วยเลือดเนื้อของสรรพสัตว์ ผู้มีจิตเมตตา มีคุณธรรมและมีจิตสำนึกอันดีงามย่อมไม่อาจกินเลือดเนื้อของสัตว์เหล่านั้นซึ่งมีเลือดเนื้อ จิตใจและที่สำคัญมีความรักตัวกลัวตายเช่นเดียวกับคนเรา
  3. กินเพื่อเว้นกรรม ผู้ที่เข้าใจอย่างลึกซึ้งย่อมตระหนักว่าการกินซึ่งอาศัยการฆ่าเพื่อเอาเลือดเนื้อผู้อื่นมาเป็นของเราเป็นการสร้างกรรม แม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้ลงมือฆ่าเองก็ตาม การซื้อจากผู้อื่นก็เหมือนกับการจ้างฆ่าเพราะถ้าไม่มีคนกินก็ไม่มีคนฆ่ามาขาย กรรมที่สร้างนี้จะติดตามสนองเราในไม่ช้าทำให้สุขภาพร่างกายอายุขัยของเราสั้นลงเป็นบ่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อผู้หยั่งรู้เรื่องกฎแห่งกรรมนี้จึงหยุดกินหยุดฆ่าหันมารับประทานอาหารเจ ซึ่งทำให้ร่างกายเติบโตได้เหมือนกัน โดยไม่เห็นแก่ความอร่อยช่วงเวลาสั้นๆ เพียงแค่อาหารผ่านลิ้นเท่านั้น
อาหารเจ
อาหารเจเป็นอาหารที่ปรุงขึ้นโดยไม่มีเนื้อสัตว์ หรือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสัตว์ (เช่น นม ไข่ น้ำผึ้ง น้ำปลา เจลาติน คอลลาเจน) และไม่ปรุงด้วยผักที่มีกลิ่นฉุน ได้แก่ กระเทียม หอม (ทุกชนิดอาทิ ต้นหอม หัวหอม หอมแดง) หลักเกียว กุยช่ายและใบยาสูบ บ้างก็รวมผักชีและเครื่องเทศรสเผ็ดร้อนเข้ามาด้วย เพราะผักเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อธาตุในร่างกาย บ้างเชื่อว่าผักเหล่านี้เพิ่มความกำหนัดหรือมาจากเลือดของสัตว์ตามตำนานจีน ทำให้อาหารเจไม่มีกลิ่นคาว เนื่องจากการงดเนื้อสัตว์ ทำให้ผู้ที่กินเจหันมาบริโภคธัญพืชในธรรมชาติเพื่อให้ได้มาซึ่งโปรตีน ซึ่งส่วนใหญ่ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองโดยในประเทศจีน พบว่ามีภัตตาคารบางแห่งซึ่งบริการ "ปรุงอาหารตามใบสั่งแพทย์" (กล่าวคือ ผู้ที่เข้ามารับประทานจะต้องได้รับใบสั่งอาหารของแพทย์เสียก่อน) โดยลูกค้าของภัตตาคารดังกล่าวเป็นคนไข้ที่กำลังเข้ารับ "การบำบัดโรคด้วยอาหารตามหลักเวชศาสตร์โบราณ" หลังเข้ารับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์แล้ว
อนึ่ง หอยนางรมก็สามารถนำมาทำเป็นอาหารเจได้ เนื่องจากเชื่อกันว่าเจ้าหญิงเมี่ยวซ่าน(พระโพธิสัตว์กวนอิม) ซึ่งพาประชาชนส่วนหนึ่งทีนับถือในพระพุทธศาสนาหนีจากการเข่นฆ่าจากพระเจ้าเมี่ยวจวงลงเรือออกทะเลไป พอนานๆวันเข้าเสบียงที่เตรียมมานั้นก็เริ่มจะหมดลงทุกทีจนหมด ผู้คนขาดอาหารเกิดความหิวโหย เจ้าหญิงเมี่ยวซ่านทรงตั้งจิตอธิษฐานโดยเอาไม้พายจุ่มลงสู่ทะเลว่าหากสิ่งใดติดขึ้นมาก็จะทานสิ่งนั้นเป็นอาหาร ผลปรากฏว่ามีหอยนางรมติดไม้พายขึ้นมา ด้วยหอยนางรมเองก็ยอมปวารณาตนถวายแด่เจ้าหญิงเมี่ยวซ่านและเหล่าพุทธศาสนิกชน จากนั้นเป็นต้นมา หอยนางรมจึงสามารถทานเป็นอาหารเจได้ และถูกทำเป็นซอสปรุงอาหารผัดกับผักต่างๆ เช่น คะน้าน้ำมันหอย เป็นต้น

หลักธรรมในการกินเจ

ในทัศนะของคนกินเจ การกินที่ทำให้ชีวิตผู้อื่นต้องเดือดร้อนล้มตายนั้น “มันมากเกินไป” ทั้งๆ ที่มนุษย์กินแต่อาหารพืชผักก็สามรถมีชีวิตอยู่ได้
การกินเจตั้งมั่นอยู่บนหลักธรรมสำคัญ 2 ประการคือ ดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารที่ไม่เบียดเบียนตนเองและดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น กล่าวคือ
  1. ไม่เอาชีวิตของสัตว์ทั้งหลายมาต่อเติมบำรุงเลี้ยงชีวิตของตน
  2. ไม่เอาเลือดของสัตว์ทั้งหลายมาเป็นเลือดของตน
  3. ไม่เอาเนื้อของสัตว์ทั้งหลายมาเป็นเนื้อของตน
การรับประทานสิ่งใดก็ตามที่ทำลายสุขภาพร่างกายของตนให้ทรุดโทรม คือ การเบียดเบียนตนเอง ปัจจุบันวิทยาการเจริญก้าวหน้าได้พิสูจน์ยืนยันว่าเลือดและเนื้อของสัตว์ที่ถูกฆ่าตายเต็มไปด้วยพิษภัยมากมาย
ดังนั้นการกินเจจึงไม่ใช่เพื่อให้เกิดผลดีต่อจิตใจเท่านั้นแต่ยังครอบคลุมไปถึงการมีสุขภาพพลานามัยที่ดีอีกด้วย ร่างกายและจิตใจเป็นของคู่กันมีความสัมพันธ์ส่งผลถึงกันคนเราย่อมไม่อาจจะรู้สึกเบิกบานสดชื่นร่าเริงได้ในขณะที่ร่างกายเจ็บป่วยทรุดโทรมย่ำแย่

การปฏิบัติตนในช่วงกินเจ

ในช่วงเทศกาลกินเจ 9 วัน 9 คืน ผู้ที่ต้องการกินเจอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ตามประเพณีการกินเจ จะต้องปฏิบัติดังนี้
  1. รับประทาน "อาหารเจ"
  2. งดอาหารรสจัด ซึ่งหมายถึงอาหารเผ็ด หวานมาก เปรี้ยวมาก เค็มมาก
  3. รักษาศีลห้า
  4. รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ รักษาอารมณ์
  5. ทำบุญทำทาน
  6. นุ่งขาวห่มขาว
สำหรับผู้ที่เคร่งครัดเพื่อการกินเจให้เป็นไปอย่างบริสุทธิ์โดยแท้ จะเพิ่มการปฏิบัติโดยการกินอาหารเฉพาะที่คนกินเจด้วยกันเป็นผู้ปรุงเท่านั้น รวมถึงจะล้างหม้อไหจนสะอาดเอี่ยมแยกภาชนะสำหรับการปรุงอาหารเจไว้โดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังจุดตะเกียงไว้ 9 ดวงตลอดช่วงเทศกาลกินเจ 9 วัน โดยไม่ปล่อยให้ดับเพื่อเป็นพุทธบูชาและรำลึกถึงบุญคุณของพ่อแม่ญาติพี่น้องตลอดจนผู้ที่มีบุญคุณต่อผืนแผ่นดินเกิด